ลักษณะคนที่บริษัทต้องการ มีอะไรบ้าง ?
1. ผู้กล้าที่จะคิดต่าง (The challenger)
ลักษณะของ “ผู้กล้าที่จะคิดต่าง” (The Challenger) เป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่ช่วยให้ทีมและบริษัทเติบโตและพัฒนา การเป็นคนที่กล้าคิดต่างและเสนอความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์สามารถทำให้คุณเป็นที่ต้องการขององค์กร นี่คือคุณสมบัติและทักษะที่ช่วยให้คุณเป็นที่รักในทีมในฐานะ The Challenger
1. ความกล้าในการเสนอความคิดเห็นที่แตกต่าง
- กล้าเสนอไอเดียใหม่: ไม่กลัวที่จะเสนอความคิดเห็นที่แตกต่างจากสิ่งที่ทีมมองอยู่
- ไม่กลัวการถูกวิพากษ์วิจารณ์: ยอมรับความเสี่ยงของการเสนอความคิดเห็นที่อาจจะไม่เป็นที่ชื่นชอบของทุกคน
2. การใช้เหตุผลและการวิเคราะห์
- การใช้เหตุผลที่ชัดเจน: เสนอความคิดเห็นโดยอิงจากข้อมูลและเหตุผลที่ชัดเจน ไม่ใช้อารมณ์ในการโต้แย้ง
- การวิเคราะห์ปัญหา: วิเคราะห์สถานการณ์อย่างลึกซึ้งเพื่อเสนอทางเลือกที่เป็นประโยชน์
3. การสร้างบรรยากาศการถกเถียงที่เป็นมิตร
- ถกเถียงอย่างสร้างสรรค์: สร้างบรรยากาศที่เปิดกว้างสำหรับความคิดเห็นที่หลากหลายและถกเถียงกันอย่างสร้างสรรค์
- เคารพความคิดเห็นของผู้อื่น: ฟังและให้ความเคารพความคิดเห็นของผู้อื่น แม้จะมีความเห็นที่แตกต่างกัน
4. การเสนอทางเลือกและการแก้ปัญหา
- เสนอแนวทางใหม่: ไม่เพียงแค่แสดงถึงปัญหา แต่ยังเสนอทางเลือกหรือแนวทางการแก้ไขที่เป็นไปได้
- คิดนอกกรอบ: ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการเสนอแนวทางที่ใหม่และแตกต่าง
5. การเป็นผู้ฟังที่ดี
- ฟังความคิดเห็นอย่างตั้งใจ: ฟังความคิดเห็นของผู้อื่นอย่างตั้งใจและเปิดใจรับฟังสิ่งที่พวกเขาพูด
- ถามคำถามที่เป็นประโยชน์: ใช้คำถามเพื่อกระตุ้นให้เกิดการคิดและอภิปรายที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
6. การรักษาความเป็นมืออาชีพ
- การพิจารณาทุกด้าน: พิจารณามุมมองที่หลากหลายและการนำเสนอความคิดเห็นอย่างมีเหตุผล
- การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ: ใช้การสื่อสารที่ชัดเจนและมีหลักการเพื่อเสนอความคิดเห็น
7. การมองในภาพรวม
- การมองภาพรวมของปัญหา: มองเห็นปัญหาจากหลายมุมมองและไม่เพียงแต่แค่จุดที่มองเห็นได้
- การมองไปข้างหน้า: มองหาทางออกในระยะยาวแทนที่จะมองแค่ปัญหาปัจจุบัน
ประโยชน์ของการเป็น The Challenger ในที่ทำงาน
- ส่งเสริมการคิดที่หลากหลาย: การเสนอความคิดเห็นที่แตกต่างช่วยให้ทีมสามารถมองเห็นปัญหาจากมุมมองใหม่ ๆ
- กระตุ้นการพัฒนา: การมีความคิดที่แตกต่างและเสนอแนวทางใหม่สามารถช่วยในการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการทำงาน
- เพิ่มความสร้างสรรค์: การแสดงความคิดเห็นที่สร้างสรรค์ช่วยให้ทีมมีความคิดใหม่ ๆ และนวัตกรรม
2. ผู้มีพลังบวก (Morale Booster)
ลักษณะของ “ผู้มีพลังบวก” (Morale Booster) เป็นคุณสมบัติที่ทำให้คุณกลายเป็นบุคคลที่สำคัญในทีมและองค์กร การมีพลังบวกและสามารถกระตุ้นกำลังใจของตัวเองและคนรอบข้างเป็นทักษะที่มีคุณค่าอย่างมากในที่ทำงาน นี่คือคุณสมบัติและทักษะที่ช่วยให้คุณเป็นที่รักในทีมในฐานะ Morale Booster
1. ทัศนคติเชิงบวก
- มองโลกในแง่ดี: มองเห็นแง่ดีในสถานการณ์ที่ยากลำบากและไม่ยอมแพ้ต่อความท้าทาย
- การมองสิ่งดี: หาวิธีในการเรียนรู้จากปัญหาและมองเห็นโอกาสในการเติบโต
2. การให้กำลังใจ
- สนับสนุนผู้อื่น: กระตุ้นให้เพื่อนร่วมงานรู้สึกดีและมีกำลังใจในการทำงาน
- ให้คำชมและการยอมรับ: ยกย่องความสำเร็จของผู้อื่นและให้การยอมรับในความพยายาม
3. การสร้างบรรยากาศที่ดี
- สร้างความสัมพันธ์ที่ดี: ทำให้บรรยากาศในการทำงานเป็นไปในเชิงบวกและมีความร่วมมือ
- สร้างความรู้สึกเป็นทีม: สนับสนุนการทำงานร่วมกันและสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีม
4. ทักษะการจัดการอารมณ์
- ควบคุมอารมณ์ได้ดี: สามารถควบคุมความเครียดและอารมณ์เชิงลบของตัวเองและของทีม
- รักษาความสงบ: แสดงให้เห็นถึงความสงบและการรับมือกับสถานการณ์ที่ตึงเครียดอย่างมีประสิทธิภาพ
5. ทักษะการสื่อสารที่ดี
- สื่อสารอย่างเป็นบวก: ใช้คำพูดและท่าทางที่เป็นบวกในการสื่อสารกับทีม
- ฟังอย่างตั้งใจ: ฟังความคิดเห็นและข้อกังวลของผู้อื่นอย่างตั้งใจและให้ความสนใจ
6. การเป็นตัวอย่างที่ดี
- แสดงพฤติกรรมที่เป็นแบบอย่าง: แสดงให้เห็นถึงการทำงานหนักและความทุ่มเทที่เป็นแบบอย่างให้กับทีม
- รักษามาตรฐานที่สูง: ปฏิบัติตามมาตรฐานที่สูงในงานและการทำงานร่วมกับผู้อื่น
7. การแก้ปัญหาด้วยทัศนคติเชิงบวก
- เสนอแนวทางในการแก้ปัญหา: มองหาวิธีแก้ปัญหาและเสนอแนวทางที่สร้างสรรค์
- ไม่มองปัญหาเป็นอุปสรรค: เปลี่ยนปัญหาให้เป็นโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต
ประโยชน์ของการเป็น Morale Booster ในที่ทำงาน
- เสริมสร้างบรรยากาศที่ดีในทีม: ความรู้สึกที่ดีและกำลังใจที่สูงสามารถช่วยให้ทีมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ช่วยในการจัดการกับความเครียด: การมีบุคคลที่มองโลกในแง่ดีช่วยให้ทุกคนในทีมรับมือกับความเครียดได้ดีขึ้น
- เพิ่มความสุขในการทำงาน: การสร้างบรรยากาศที่ดีทำให้การทำงานมีความสุขและสนุกมากขึ้น
3. อัจฉริยะรอบด้าน (Renaissance Man/Woman)
การเป็น “อัจฉริยะรอบด้าน” (Renaissance Man/Woman) เป็นคุณสมบัติที่ทำให้คุณเป็นบุคคลที่บริษัทเล็กและทีมเล็กในบริษัทใหญ่ต้องการ ความหลากหลายของทักษะและความสามารถที่คุณมีสามารถทำให้คุณมีบทบาทสำคัญในองค์กร นี่คือคุณสมบัติและทักษะที่ช่วยให้คุณเป็นที่รักในที่ทำงานในฐานะอัจฉริยะรอบด้าน
1. ความสามารถในการทำหลายหน้าที่
- มีความสามารถหลากหลาย: สามารถทำงานในหลาย ๆ บทบาท เช่น การจัดการโครงการ, การวางแผนธุรกิจ, การตลาด, และการจัดการการเงิน
- ยินดีทำงานนอกเหนือจากหน้าที่: พร้อมที่จะช่วยงานในด้านอื่น ๆ นอกเหนือจากหน้าที่หลักของคุณ
2. ทักษะในการแก้ปัญหาที่หลากหลาย
- คิดวิเคราะห์: สามารถวิเคราะห์ปัญหาและเสนอวิธีการแก้ไขจากหลายมุมมอง
- การตัดสินใจที่ดี: ใช้ความรู้และประสบการณ์ในการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ
3. ทักษะการเรียนรู้ที่รวดเร็ว
- เรียนรู้ได้เร็ว: สามารถเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ และนำมาประยุกต์ใช้ในงานได้อย่างรวดเร็ว
- ความอยากรู้: สนใจเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และเพิ่มพูนความรู้ในหลาย ๆ ด้าน
4. ทักษะการสื่อสารที่ดี
- สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ: สามารถสื่อสารกับคนในหลายระดับขององค์กรได้ดี
- การทำงานร่วมกัน: ทำงานร่วมกับทีมในหลากหลายบทบาทและสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
5. ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม
- คิดนอกกรอบ: สามารถคิดค้นวิธีการใหม่ ๆ และเสนอแนวคิดที่เป็นนวัตกรรม
- ความคิดสร้างสรรค์: ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ
6. ความเป็นผู้นำและการบริหารจัดการ
- ทักษะการบริหารจัดการ: สามารถบริหารจัดการงานและทีมในหลาย ๆ ด้านได้
- เป็นผู้นำที่ดี: มีทักษะในการนำทีมและกระตุ้นให้ทีมทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
7. ความยืดหยุ่นและการปรับตัว
- ปรับตัวได้ดี: สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และความต้องการที่เปลี่ยนแปลงได้
- ยืดหยุ่นในบทบาท: ยินดีที่จะรับผิดชอบในหน้าที่ใหม่ ๆ และปรับตัวตามความต้องการขององค์กร
ประโยชน์ของการเป็น Renaissance Man/Woman ในที่ทำงาน
- สามารถเติมเต็มหลายบทบาท: ทำให้คุณเป็นคนที่จำเป็นสำหรับทีม เพราะคุณสามารถรับผิดชอบหลายด้านได้
- เพิ่มโอกาสในการเติบโต: บริษัทจะเห็นศักยภาพของคุณในหลาย ๆ ด้าน และมีโอกาสที่จะมอบบทบาทที่สูงขึ้นให้กับคุณ
- เพิ่มความมุ่งมั่นและความสนุก: การมีบทบาทหลากหลายทำให้คุณไม่รู้สึกเบื่อหน่ายและสนุกกับการทำงาน
4. ผู้หลงใหลในข้อมูล (Knowledge Seeker)
ลักษณะของ “ผู้หลงใหลในข้อมูล” (Knowledge Seeker) เป็นคุณสมบัติที่หลายบริษัทต้องการ เพราะบุคคลที่มีความหลงใหลในข้อมูลสามารถนำความรู้ใหม่ ๆ มาช่วยพัฒนาธุรกิจและสนับสนุนทีมได้อย่างมากมาย นี่คือคุณสมบัติและทักษะที่ทำให้คนประเภทนี้เป็นที่รักในองค์กร
1. ความกระตือรือร้นในการเรียนรู้
- ค้นคว้าอย่างต่อเนื่อง: สนใจในการค้นหาความรู้ใหม่ ๆ ผ่านการอ่านหนังสือ, บทความ, หรือการเข้าร่วมเวิร์กช็อปต่าง ๆ
- ตั้งคำถาม: อยากรู้สิ่งที่ไม่รู้และตั้งคำถามเพื่อค้นหาคำตอบ
2. การติดตามข่าวสารและแนวโน้มในอุตสาหกรรม
- ติดตามข่าวสาร: อัปเดตข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม, เทรนด์ใหม่ ๆ, และนวัตกรรมล่าสุด
- แหล่งข้อมูลที่หลากหลาย: ใช้แหล่งข้อมูลที่หลากหลาย เช่น ข่าวสารออนไลน์, บล็อก, หรือพอดแคสต์ เพื่อติดตามแนวโน้มในอุตสาหกรรม
3. การแบ่งปันความรู้กับผู้อื่น
- แบ่งปันข้อมูล: ยินดีที่จะแบ่งปันสิ่งที่เรียนรู้กับเพื่อนร่วมงาน เพื่อช่วยให้ทีมเติบโต
- เป็นแหล่งข้อมูล: กลายเป็นแหล่งความรู้ที่สามารถให้คำแนะนำและคำตอบสำหรับคำถามของเพื่อนร่วมงาน
4. การใช้ความรู้ในการแก้ปัญหา
- การวิเคราะห์ปัญหา: ใช้ข้อมูลและความรู้ที่มีเพื่อวิเคราะห์ปัญหาและหาวิธีแก้ไข
- เสนอแนวทางใหม่: แนะนำวิธีการใหม่ ๆ หรือการเปลี่ยนแปลงที่สามารถปรับปรุงกระบวนการทำงาน
5. ทักษะการวิจัยที่แข็งแกร่ง
- ค้นหาข้อมูลที่ถูกต้อง: สามารถค้นหาข้อมูลที่มีคุณภาพและเชื่อถือได้จากแหล่งต่าง ๆ
- การวิจัยอย่างเป็นระบบ: ใช้ทักษะการวิจัยเพื่อทำความเข้าใจหัวข้อที่ต้องการ
6. ความคิดสร้างสรรค์และการคิดนอกกรอบ
- คิดสร้างสรรค์: ใช้ข้อมูลและความรู้ในการคิดค้นแนวคิดใหม่ ๆ และวิธีการที่ไม่ธรรมดา
- มองภาพรวม: มองภาพรวมของปัญหาและแนวทางการแก้ไขที่เป็นไปได้จากหลายมุมมอง
7. ความสามารถในการจัดการข้อมูล
- จัดระเบียบข้อมูล: สามารถจัดระเบียบและวิเคราะห์ข้อมูลให้เป็นระเบียบเพื่อให้สามารถเข้าถึงได้ง่าย
- สรุปข้อมูล: สามารถสรุปข้อมูลที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่ายและนำเสนอให้กับทีมได้
ประโยชน์ของการเป็น Knowledge Seeker ในที่ทำงาน
- การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง: ความรู้ที่อัปเดตช่วยให้บริษัทสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดและแนวโน้มใหม่ ๆ
- การสนับสนุนทีม: การแบ่งปันความรู้ทำให้ทีมสามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ดีขึ้นและเรียนรู้จากประสบการณ์ของกันและกัน
- การเพิ่มคุณค่าให้กับองค์กร: การที่คุณมีความรู้มากมายทำให้คุณกลายเป็นทรัพยากรที่มีค่าขององค์กร ซึ่งอาจนำไปสู่การเติบโตในอาชีพ
5. เป็นผู้ให้คำปรึกษา (Mentor)
การเป็นผู้ให้คำปรึกษา (Mentor) ที่ดีในที่ทำงาน เป็นคุณสมบัติที่บริษัทหลายแห่งมองหา โดยเฉพาะในบริษัท Start-up ที่ต้องการบุคคลที่มีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้กับผู้อื่น นี่คือคุณสมบัติและทักษะที่ช่วยให้คุณเป็นที่รักของบริษัทในฐานะผู้ให้คำปรึกษา
1. ความสามารถในการสอนงาน
- เข้าใจง่าย: คุณต้องสามารถอธิบายแนวคิดหรือกระบวนการซับซ้อนให้เข้าใจได้ง่าย
- ยืดหยุ่น: ปรับวิธีการสอนให้เหมาะสมกับแต่ละคน
- เป็นกันเอง: สร้างบรรยากาศที่สบายและเปิดกว้างสำหรับคำถามและข้อสงสัย
2. ความสามารถในการสื่อสารที่ดี
- ชัดเจนและตรงไปตรงมา: ใช้ภาษาและตัวอย่างที่เข้าใจง่าย
- ฟังอย่างตั้งใจ: รับฟังความคิดเห็นและปัญหาของเพื่อนร่วมงานอย่างตั้งใจ
- ให้ข้อเสนอแนะแบบสร้างสรรค์: เสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาตัวเอง
3. ทักษะการสร้างแรงบันดาลใจ
- เป็นแบบอย่างที่ดี: แสดงให้เห็นถึงการทำงานหนักและความมุ่งมั่น
- กระตุ้นความสนใจ: ทำให้ผู้เรียนรู้สึกสนุกและตื่นเต้นกับการเรียนรู้
4. ความรู้และประสบการณ์ที่ลึกซึ้ง
- มีความเชี่ยวชาญ: ต้องมีความรู้ลึกซึ้งในสาขาของตน
- แบ่งปันประสบการณ์: เล่าเรื่องราวและประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้มาเพื่อเป็นบทเรียน
5. การเป็นผู้ช่วยแก้ปัญหา
- มองปัญหาเป็นโอกาส: ช่วยค้นหาวิธีการใหม่ ๆ ในการแก้ไขปัญหา
- เสนอแนวทางที่เป็นไปได้: ให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์และสามารถนำไปปฏิบัติได้
6. การสร้างสัมพันธ์ที่ดี
- สร้างความไว้วางใจ: สร้างความสัมพันธ์ที่มีพื้นฐานจากความไว้วางใจและความเคารพ
- ให้ความช่วยเหลืออย่างจริงใจ: แสดงให้เห็นว่าคุณมีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือและเห็นความสำเร็จของผู้อื่น
7. ความอดทนและความเข้าใจ
- มีความอดทน: เข้าใจว่าผู้เรียนรู้บางคนอาจต้องการเวลาในการเรียนรู้
- เข้าใจปัญหาของผู้อื่น: รับรู้ถึงอุปสรรคและความท้าทายที่ผู้เรียนรู้เผชิญอยู่
การเป็น ผู้ให้คำปรึกษาที่ดี ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เพื่อนร่วมงานเติบโต แต่ยังช่วยให้คุณได้รับการยอมรับในที่ทำงานและเพิ่มโอกาสในการเติบโตในอาชีพของคุณเองด้วย
ประโยชน์ของการเป็น Mentor ในที่ทำงาน
- สร้างชื่อเสียงที่ดี: คนที่ช่วยเหลือผู้อื่นมักได้รับการยอมรับในด้านความสามารถและความเอื้ออาทร
- เพิ่มโอกาสในการก้าวหน้า: การมีบทบาทเป็น Mentor สามารถเปิดโอกาสให้คุณได้แสดงความสามารถในการเป็นผู้นำและจัดการทีม
- พัฒนาทักษะของตัวเอง: การสอนงานและให้คำปรึกษาช่วยให้คุณทบทวนและพัฒนาทักษะของตัวเอง
ทักษะและความสามารถที่ควรมีในการทำงาน
ในสถานการณ์ที่บริษัทต่าง ๆ กำลังเผชิญปัญหาด้านงบประมาณและค่าใช้จ่าย การมีพนักงานที่มีลักษณะและทักษะพิเศษสามารถทำให้พนักงานคนนั้นโดดเด่นและเป็นที่รักของบริษัทได้ นี่คือบางลักษณะและทักษะที่บริษัทมองหาในพนักงานในสถานการณ์เช่นนี้
1. ความสามารถในการแก้ปัญหา (Problem-Solving Skills)
- ลักษณะ: สามารถวิเคราะห์ปัญหาและหาแนวทางการแก้ไขที่มีประสิทธิภาพ
- ทักษะ: ความคิดเชิงกลยุทธ์, ความคิดสร้างสรรค์, ความสามารถในการตัดสินใจ
2. การปรับตัวได้ดี (Adaptability)
- ลักษณะ: ยืดหยุ่นและพร้อมที่จะเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ หรือเปลี่ยนแปลงการทำงานตามสถานการณ์
- ทักษะ: ความเปิดกว้างต่อการเปลี่ยนแปลง, การจัดการกับความไม่แน่นอน
3. ทักษะการสื่อสารที่ดี (Effective Communication Skills)
- ลักษณะ: สามารถสื่อสารความคิดและข้อมูลได้อย่างชัดเจนและสร้างสรรค์
- ทักษะ: การฟังอย่างตั้งใจ, การนำเสนอ, การเขียนและพูดที่มีประสิทธิภาพ
4. ทัศนคติเชิงบวก (Positive Attitude)
- ลักษณะ: มีความมุ่งมั่นและสามารถสร้างบรรยากาศที่ดีในทีม
- ทักษะ: ความมุ่งมั่น, ความเชื่อมั่นในความสำเร็จของทีม
5. ทักษะการจัดการเวลา (Time Management Skills)
- ลักษณะ: สามารถจัดการเวลาและทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ทักษะ: การตั้งเป้าหมาย, การจัดลำดับความสำคัญ, การจัดการงานหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน
6. ความสามารถในการทำงานเป็นทีม (Teamwork Skills)
- ลักษณะ: สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดีและสนับสนุนเป้าหมายของทีม
- ทักษะ: การทำงานร่วมกัน, การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในทีม, การแก้ไขข้อขัดแย้ง
7. การแสดงความรับผิดชอบ (Responsibility)
- ลักษณะ: รับผิดชอบต่อผลลัพธ์ของงานและสามารถจัดการกับภาระงานต่าง ๆ
- ทักษะ: ความสามารถในการรับผิดชอบต่อผลลัพธ์, การดำเนินการอย่างมีวินัย
8. ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (Expertise)
- ลักษณะ: มีความรู้และทักษะในด้านที่สำคัญสำหรับบริษัท
- ทักษะ: ความรู้เฉพาะทาง, ทักษะทางเทคนิคที่จำเป็น
9. ทักษะการจัดการความขัดแย้ง (Conflict Resolution Skills)
- ลักษณะ: สามารถจัดการและแก้ไขข้อขัดแย้งภายในทีมได้
- ทักษะ: การเจรจาต่อรอง, การแก้ปัญหาความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์
10. ความสนใจในความก้าวหน้าของบริษัท (Company-Oriented)
- ลักษณะ: ใส่ใจในเป้าหมายและความสำเร็จของบริษัท
- ทักษะ: การเข้าใจวิสัยทัศน์ของบริษัท, การสนับสนุนเป้าหมายระยะยาวของบริษัท