การเรียกเงินเดือนของเด็กจบใหม่ ควรพิจารณาอะไรบ้าง ?
1. ศึกษาตลาดแรงงาน
การศึกษาตลาดแรงงานเพื่อสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับเงินเดือนเฉลี่ยในตำแหน่งที่คุณสนใจเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้คุณสามารถเรียกเงินเดือนได้อย่างเหมาะสม นี่คือวิธีการที่คุณสามารถทำได้
1. ค้นหาข้อมูลออนไลน์
- เว็บไซต์หางาน: หลายเว็บไซต์เช่น PartTimeTH มีการระบุเงินเดือนสำหรับตำแหน่งงานที่โพสต์ ซึ่งคุณสามารถดูข้อมูลเฉลี่ยของตำแหน่งที่สนใจได้
- รายงานเงินเดือน: บริษัทจัดหางานและที่ปรึกษาด้านทรัพยากรมนุษย์มักจะเผยแพร่รายงานเงินเดือนประจำปี เช่น Hays, Robert Walters หรือ Adecco คุณสามารถดาวน์โหลดรายงานเหล่านี้เพื่อดูเงินเดือนเฉลี่ยตามอุตสาหกรรมและตำแหน่งงาน
2. สอบถามจากผู้มีประสบการณ์
พูดคุยกับผู้ที่ทำงานในตำแหน่งหรืออุตสาหกรรมที่คุณสนใจ อาจจะเป็นรุ่นพี่ เพื่อน หรือคนในเครือข่ายของคุณ ข้อมูลที่ได้มักจะมีความเป็นจริงและตรงกับสถานการณ์ปัจจุบันมากขึ้น
3. เข้าร่วมงานสัมมนา/งานนิทรรศการงาน
งานสัมมนาหรือมหกรรมจัดหางานมักมีข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มตลาดแรงงานและเงินเดือนเฉลี่ยในแต่ละสาขาอาชีพ คุณสามารถใช้โอกาสนี้ในการสอบถามข้อมูลจากนายจ้างโดยตรง
4. ดูจากประกาศรับสมัครงาน
วิเคราะห์จากประกาศรับสมัครงานที่มีการระบุเงินเดือน ซึ่งสามารถพบได้ในเว็บไซต์หางานต่างๆ รวมถึงดูแนวโน้มจากหลายประกาศเพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจน
2. ประเมินคุณสมบัติและความสามารถของตนเอง
การประเมินคุณสมบัติและความสามารถของตนเองเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการพัฒนาอาชีพและชีวิตส่วนตัว นี่คือขั้นตอนที่คุณสามารถทำเพื่อประเมินตัวเอง
1. สำรวจทักษะเฉพาะทาง
- ทักษะทางเทคนิค: คุณมีทักษะทางเทคนิคอะไรบ้าง เช่น การใช้ซอฟต์แวร์เฉพาะ การเขียนโปรแกรม หรือทักษะด้านการวิจัย
- ทักษะทางการสื่อสาร: คุณสื่อสารได้ดีแค่ไหน ทั้งในรูปแบบการพูดและการเขียน
- ทักษะการจัดการ: คุณมีความสามารถในการจัดการโครงการ, เวลา, หรือทีมงานอย่างไรบ้าง
2. การฝึกงานและประสบการณ์ทำงาน
การฝึกงานหรือประสบการณ์ทำงานในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องสามารถเป็นจุดเด่นที่ทำให้คุณมีความโดดเด่นมากขึ้น เพราะคุณได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงและพัฒนาทักษะเฉพาะทาง
3. การศึกษาเพิ่มเติม
หากคุณมีการศึกษาเพิ่มเติม เช่น การเรียนหลักสูตรออนไลน์, การได้รับประกาศนียบัตร หรือการเข้าอบรมสัมมนา สิ่งเหล่านี้สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับตัวคุณและทำให้คุณดูมีความรู้ความสามารถมากขึ้นในสายตาของผู้จ้างงาน
4. กิจกรรมพิเศษและงานอาสา
การเข้าร่วมกิจกรรมพิเศษ เช่น การเข้าร่วมชมรม การทำงานอาสาสมัคร หรือการเข้าร่วมโครงการต่างๆ สามารถช่วยเสริมสร้างทักษะต่างๆ เช่น ความเป็นผู้นำ, การทำงานเป็นทีม, และความคิดสร้างสรรค์
5. การประเมินตัวเองในปัจจุบัน
ลองพิจารณาว่าคุณมีจุดแข็งอะไรบ้างที่ทำให้คุณมีความโดดเด่น และมีจุดอ่อนอะไรที่ควรปรับปรุง คิดถึงเป้าหมายในอนาคตและดูว่าทักษะและความสามารถที่คุณมีอยู่สอดคล้องกับเป้าหมายนั้นหรือไม่
6. รับคำแนะนำจากผู้อื่น
บางครั้ง การได้รับฟีดแบ็กจากเพื่อนร่วมงาน, หัวหน้า, หรือเพื่อนสนิท สามารถช่วยให้คุณมองเห็นตัวเองได้ชัดเจนขึ้น
3. พูดคุยกับคนในอุตสาหกรรม
การพูดคุยกับผู้มีประสบการณ์หรือรุ่นพี่ในอุตสาหกรรมเดียวกันเป็นวิธีที่ดีในการเก็บข้อมูลและเข้าใจถึงเงินเดือนที่เหมาะสมสำหรับตำแหน่งงานที่คุณสนใจ นี่คือประโยชน์ที่คุณอาจได้รับจากการพูดคุยเช่นนี้
1. ข้อมูลเชิงลึกในอุตสาหกรรม: ผู้ที่มีประสบการณ์จะสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มปัจจุบันในอุตสาหกรรม ความต้องการของตลาด และเทคโนโลยีหรือทักษะที่กำลังเป็นที่ต้องการ
2. เงินเดือนที่เหมาะสม: คุณจะได้ทราบถึงช่วงเงินเดือนที่เหมาะสมสำหรับตำแหน่งงานของคุณ การพูดคุยกับคนที่ทำงานในตำแหน่งที่คล้ายคลึงกันจะช่วยให้คุณมีข้อมูลที่ดีในการเจรจาเงินเดือนกับนายจ้าง
3. เส้นทางการเติบโตในอาชีพ: คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับเส้นทางการเติบโตในอาชีพของคุณว่าควรพัฒนาทักษะด้านใด และควรมีประสบการณ์อะไรบ้างเพื่อก้าวไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น
4. ความท้าทายและโอกาส: การรู้ถึงความท้าทายที่คุณอาจเจอในงานจะช่วยให้คุณเตรียมตัวได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังได้ทราบถึงโอกาสในอาชีพที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน
5. การสร้างเครือข่าย: การมีเครือข่ายในอุตสาหกรรมจะเป็นประโยชน์ในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นโอกาสในการหางานใหม่ การเข้าถึงแหล่งข้อมูล หรือการได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
การหาผู้ที่คุณสามารถพูดคุยได้อาจทำได้โดยการเข้าร่วมงานสัมมนา เข้าร่วมกลุ่มในโซเชียลมีเดีย หรือขอคำแนะนำจากคนรู้จักที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน
4. เริ่มต้นจากความยืดหยุ่น
การระบุช่วงเงินเดือนเป็นวิธีที่ดีในการแสดงถึงความยืดหยุ่นเมื่อคุณไม่แน่ใจว่าควรเรียกเงินเดือนเท่าใดในระหว่างการเจรจางาน วิธีนี้ช่วยให้คุณเปิดประตูสู่การเจรจาและแสดงถึงความยืดหยุ่นในการพิจารณาข้อเสนอจากนายจ้าง โดยมีขั้นตอนหลักๆ ดังนี้
1. ศึกษาข้อมูลตลาด: ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเงินเดือนเฉลี่ยในตำแหน่งงานที่คุณสมัคร รวมถึงในอุตสาหกรรมและพื้นที่ที่คุณต้องการทำงาน เพื่อให้คุณมีข้อมูลพื้นฐานสำหรับการเจรจา
2. ระบุช่วงเงินเดือน: เมื่อคุณมีข้อมูลแล้ว ให้กำหนดช่วงเงินเดือนที่คุณรู้สึกว่าพึงพอใจ โดยควรมีทั้งตัวเลขที่คุณต้องการ (ตัวเลขที่พึงพอใจ) และตัวเลขที่ยอมรับได้น้อยที่สุด (ขั้นต่ำที่คุณจะพิจารณารับ)
3. สื่อสารอย่างชัดเจน: เมื่อถูกถามเรื่องเงินเดือน คุณสามารถตอบโดยการระบุช่วงเงินเดือนที่คุณต้องการ พร้อมกับเน้นว่าคุณเปิดรับการเจรจา
4. พิจารณาปัจจัยอื่น ๆ: นอกจากเงินเดือนแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ เช่น สวัสดิการ การฝึกอบรม การเติบโตในอาชีพ ฯลฯ ที่อาจมีผลต่อการตัดสินใจของคุณในการรับงาน
การใช้วิธีนี้ช่วยให้คุณสามารถรักษาความยืดหยุ่นในการเจรจาและเพิ่มโอกาสในการได้รับข้อเสนอที่ดีที่สุดสำหรับคุณ
5. พิจารณาผลประโยชน์อื่นๆ
การพิจารณาผลประโยชน์อื่นๆ นอกเหนือจากเงินเดือนเป็นเรื่องสำคัญเมื่อคุณตัดสินใจรับงานหรือต่อรองผลประโยชน์กับบริษัท นี่คือบางส่วนของผลประโยชน์ที่ควรคำนึงถึง
1. ประกันสุขภาพ: ประกันสุขภาพที่ครอบคลุมทั้งครอบครัวสามารถช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ได้มาก
2. โบนัส: โบนัสประจำปีหรือโบนัสตามผลงานสามารถเพิ่มรายได้ของคุณได้มาก
3. การฝึกอบรมเพิ่มเติม: โอกาสในการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะใหม่ๆ เป็นการลงทุนในตัวคุณเองและช่วยให้คุณเติบโตในสายอาชีพ
4. โอกาสในการเติบโตในบริษัท: โอกาสในการเลื่อนตำแหน่งหรือเปลี่ยนตำแหน่งภายในบริษัทเป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึงสำหรับการพัฒนาอาชีพในระยะยาว
5. เวลาทำงานยืดหยุ่น: เวลาทำงานที่ยืดหยุ่นหรือการทำงานทางไกลช่วยให้คุณจัดการเวลาส่วนตัวและการทำงานได้ดีขึ้น
6. วันลาพักร้อนและวันหยุดพิเศษ: วันลาพักร้อนและวันหยุดพิเศษที่มากขึ้นจะช่วยให้คุณได้พักผ่อนและมีความสมดุลในชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว
7. สวัสดิการอื่นๆ: เช่น ส่วนลดสำหรับพนักงาน, สิทธิในการใช้ยิม, หรือโปรแกรมสุขภาพจิตก็เป็นสิ่งที่มีค่า