สาเหตุของ “ภาวะตาแห้ง”
การสร้างน้ำตาน้อยกว่าปกติ (Aqueous Tear Deficiency)
หนึ่งในสาเหตุหลักของตาแห้งเกิดจากการสร้างน้ำตาที่น้อยกว่าปกติ สาเหตุนี้มักพบในผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเฉพาะกลุ่ม เช่น
- กลุ่มโรค Sjogren’s Syndrome : โรคนี้เกิดจากการทำงานผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งอาจเป็นผลมาจากโรคข้ออย่างโรครูมาตอยด์ หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง ซึ่งส่งผลให้ต่อมน้ำตาทำงานได้น้อยลงจนเกิดตาแห้ง
- ต่อมน้ำตาผิดปกติตั้งแต่เกิด : ในบางราย ต่อมน้ำตาอาจทำงานผิดปกติเนื่องจากพันธุกรรม หรือมีปัญหาโรคภูมิคุ้มกันที่ทำให้การผลิตน้ำตาลดลง
- ผลข้างเคียงจากยา : ยาบางชนิดเช่น ยาแก้หวัด ยาแก้แพ้ และยาลดความดันโลหิต อาจมีส่วนผสมของสารที่ทำให้ตาแห้ง หากใช้ยาหลายชนิดพร้อมกันอาจทำให้ปัญหานี้ยิ่งแย่ลง
ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงในวัยหมดประจำเดือน
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงวัยหมดประจำเดือนทำให้เยื่อบุต่าง ๆ ในร่างกายรวมถึงเยื่อบุตา ผลิตน้ำได้น้อยลง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญของตาแห้ง
การระเหยของน้ำตาเร็วเกินไป (Evaporative Dry Eyes)
น้ำตาที่ระเหยเร็วกว่าปกติเป็นสาเหตุที่พบบ่อยในภาวะตาแห้ง โดยมีปัจจัยสำคัญหลายอย่าง เช่น
- ต่อมไขมันที่เปลือกตาทำงานผิดปกติ (Meibomian Gland Dysfunction) : ต่อมไขมันที่เปลือกตาทำหน้าที่ในการป้องกันการระเหยของน้ำตา หากต่อมไขมันนี้อุดตันหรือติดขัด จะทำให้น้ำตาระเหยเร็วขึ้นจนเกิดตาแห้ง
- เปลือกตาผิดปกติ : ผู้ที่มีปัญหาเปลือกตาไม่ปิดสนิท หรือกะพริบตาน้อยผิดปกติ จะมีแนวโน้มที่จะพบกับปัญหาน้ำตาระเหยเร็วขึ้นเช่นกัน
- ผลกระทบจากสารเคมีหรือแพ้ยา : การสัมผัสสารเคมีหรือแพ้ยารุนแรง อาจทำให้เยื่อบุตาอักเสบและเกิดแผลเป็น ซึ่งส่งผลให้การสร้างน้ำตาชั้นเมือกมีปัญหา
การใช้สายตาอย่างหนัก
ในกลุ่มวัยทำงานที่ใช้งานคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ เป็นเวลานาน ปัญหาตาแห้งมักเกิดขึ้นเนื่องจากพฤติกรรมการจ้องจอเป็นเวลานาน โดยไม่ค่อยกะพริบตา การใช้คอนแทคเลนส์ก็เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลให้ตาแห้ง เพราะคอนแทคเลนส์ดูดซับน้ำจากดวงตา ทำให้ความชื้นลดลงอย่างรวดเร็ว
การดูแลและป้องกันอาการตาแห้ง : วิธีปฏิบัติที่สำคัญเพื่อสุขภาพตาที่ดี
ปรับพฤติกรรมการใช้สายตาเพื่อป้องกันตาแห้ง
หนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการป้องกันอาการตาแห้งคือการปรับพฤติกรรมการใช้สายตาให้ถูกต้องและเหมาะสม ดังนี้
- พักสายตาเป็นระยะ
การใช้สายตาอย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุดพักอาจทำให้เกิดอาการตาแห้งได้ ควรหยุดพักจากการใช้งานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือมือถือทุก ๆ 20 นาที โดยอาจปิดตาสัก 20 วินาที หรือมองไกลออกไปที่ระยะประมาณ 20 ฟุต การทำเช่นนี้จะช่วยลดความตึงเครียดของดวงตาและทำให้รู้สึกสบายตามากขึ้น - พักการใช้คอนแทคเลนส์
สำหรับผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ ควรมีการหยุดพักเป็นระยะ โดยเปลี่ยนมาใส่แว่นตาแทนในบางช่วง เพื่อให้ดวงตาได้มีเวลาพักผ่อนและลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการตาแห้ง - ใช้งานคอมพิวเตอร์และมือถือในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ
การใช้งานคอมพิวเตอร์หรือมือถือในที่ที่มีแสงสว่างน้อยอาจทำให้ตาต้องทำงานหนักขึ้น ซึ่งสามารถนำไปสู่อาการตาแห้งได้ ควรใช้สายตาในสถานที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอเพื่อป้องกันอาการดังกล่าว - เตือนตัวเองให้กะพริบตาบ่อย ๆ
การกะพริบตาเป็นการกระจายฟิล์มน้ำตาให้ทั่วดวงตา ซึ่งช่วยป้องกันการระเหยของน้ำตาและลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการตาแห้ง ดังนั้น ควรเตือนตัวเองให้กะพริบตาอย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะเวลาที่ใช้งานคอมพิวเตอร์หรือมือถือ
การดูแลสุขภาพตาในสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยง
สภาพแวดล้อมบางประการอาจทำให้เกิดอาการตาแห้งได้ง่ายขึ้น ดังนั้นการดูแลและป้องกันเป็นสิ่งที่สำคัญ
- ปกป้องดวงตาจากลมและอากาศแห้ง
หากต้องอยู่ในที่ที่มีลมแรงหรืออากาศแห้ง ควรสวมแว่นกันแดดหรือแว่นกันลมเพื่อป้องกันไม่ให้ลมพัดเอาน้ำตาออกจากดวงตาและลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการตาแห้ง - บริโภคอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพตา
การรับประทานอาหารที่มีโอเมกา 3 (Omega 3 Fatty Acid) ซึ่งมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและช่วยลดการอักเสบ สามารถช่วยบรรเทาอาการตาแห้งได้ รวมถึงการกินอาหารที่ครบทุกหมู่และสมดุลเพื่อรักษาสุขภาพตาให้แข็งแรง
เมื่ออาการตาแห้งไม่หาย ควรพบจักษุแพทย์
แม้ว่าการปรับพฤติกรรมการใช้สายตาและการดูแลดวงตาในชีวิตประจำวันสามารถช่วยลดอาการตาแห้งได้ แต่ในกรณีที่อาการยังคงรุนแรงหรือมีอาการเรื้อรัง ควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง นอกจากนี้ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันให้เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยบรรเทาอาการและลดความเสี่ยงของการเกิดอาการตาแห้งในระยะยาว
การดูแลสุขภาพตาไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันอาการตาแห้ง แต่ยังช่วยให้ดวงตามีสุขภาพดีและสดใสเสมอ ซึ่งจะทำให้คุณสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพและสุขสบายในทุก ๆ วัน