ในฐานะผู้ประกอบการแฟรนไชส์ เรื่องสำคัญประการหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญอย่างจริงจังคือการบริหารจัดการด้านภาษีอากร เพราะหากมองข้ามหรือไม่ดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว อาจต้องสูญเสียต้นทุนการดำเนินงานไปจำนวนมากและอาจต้องรับโทษตามกฎหมายได้ บทความนี้จะมาแนะนำภาษีสำคัญๆ ที่ผู้ประกอบการแฟรนไชส์ต้องเรียนรู้และวิธีจัดการเพื่อให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างราบรื่น
ภาษีอากรสำหรับธุรกิจแฟรนไชส์
1. ภาษีเงินได้นิติบุคคล
หากผู้ประกอบการจดทะเบียนนิติบุคคลในรูปแบบบริษัทจำกัดหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล จะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตรา 20% ของกำไรสุทธิประจำรอบระยะเวลาบัญชี โดยมีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลทุกๆ รอบปีบัญชี การวางระบบบัญชีให้เป็นระเบียบและถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้นจะทำให้ง่ายต่อการคำนวณกำไรสุทธิและภาระภาษีที่ต้องชำระ
2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ภาษีประเภทนี้จะต้องเสียในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การซื้อสินค้า การผลิต และการขายสินค้าหรือบริการ ในอัตรา 7% โดยผู้ประกอบการแฟรนไชส์จะต้องดำเนินการขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกับกรมสรรพากรก่อน หลังจากนั้นจึงจะมีสิทธิออกใบกำกับภาษีและสามารถนำภาษีซื้อที่เสียไว้มาหักลดหย่อนกับภาษีขายได้
3. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
สำหรับผู้ประกอบการรายบุคคลที่ไม่ได้จดทะเบียนนิติบุคคล จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากรายได้ที่ได้รับจากการประกอบธุรกิจแฟรนไชส์ในอัตราภาษีตามหลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนด ซึ่งอาจแตกต่างกันไปตามจำนวนเงินได้พึงประเมิน การเตรียมพร้อมด้วยระบบบัญชีที่ดีจะช่วยให้คำนวณเงินได้พึงประเมินง่ายขึ้น
4. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย
เมื่อผู้ประกอบการแฟรนไชส์ต้องจ่ายเงินให้แก่บุคคลอื่นในรูปแบบต่างๆ เช่น ค่าเช่า ค่าบริการ เงินได้พึงประเมิน ก็จะมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายไว้ตามอัตราที่กฎหมายกำหนด เช่น 3% สำหรับค่าเช่า 5% สำหรับค่าบริการ เป็นต้น จากนั้นจึงนำส่งภาษีที่หักไว้ให้กรมสรรพากรต่อไป โดยมีแบบฟอร์มและระยะเวลาการนำส่งภาษีที่หักไว้แตกต่างกันในแต่ละประเภท
5. ภาษีอากรอื่นๆ
ค่าธรรมเนียมต่างๆ ภาษีป้าย ภาษีโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง เป็นต้น ขึ้นอยู่กับลักษณะและที่ตั้งสถานประกอบการแฟรนไชส์
การวางระบบบัญชีที่ดีและถูกวิธี
เพื่อให้การบริหารจัดการด้านภาษีของธุรกิจแฟรนไชส์เป็นไปอย่างสะดวกและแม่นยำ ผู้ประกอบการควรวางระบบบัญชีรายรับ-รายจ่ายเอาไว้ตั้งแต่เริ่มต้น โดยอาจแยกบัญชีย่อยตามประเภทต่างๆ เช่น
- บัญชีภาษีซื้อ สำหรับเก็บใบกำกับภาษีซื้อ
- บัญชีภาษีขาย เพื่อบันทึกรายการขายสินค้า/บริการที่ต้องเสียภาษีขาย
- บัญชีรายรับเงินได้พึงประเมิน
- บัญชีภาษีหัก ณ ที่จ่าย เพื่อบันทึกรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย
- บัญชีค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้ เป็นต้น
การจัดทำบัญชีดังกล่าวควรทำเป็นประจำทุกวัน ไม่ปล่อยให้กองสะสมนาน จะช่วยให้สามารถติดตามและควบคุมรายรับ-รายจ่าย รวมถึงภาษีต่างๆ ได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
ใช้บริการรับทำบัญชีและภาษี
หากรู้สึกว่าการจัดการด้านภาษีเป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อน ผู้ประกอบการสามารถพิจารณาจ้างบริษัทรับทำบัญชีที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้มาคอยดูแลให้ โดยมักให้บริการทั้งการบันทึกบัญชี การคำนวณภาระภาษีแต่ละประเภท การจัดทำและยื่นแบบแสดงรายการภาษีต่างๆ ไปจนถึงการชำระภาษี รับรองระบบบัญชีให้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งแม้ค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะถือเป็นต้นทุนในการดำเนินงาน แต่ก็ถือเป็นการลดความเสี่ยงและช่วยแบ่งเบาภาระด้านบริหารจัดการให้ผู้ประกอบการสามารถมุ่งจัดการงานหลักได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม หากผู้ประกอบการสามารถทำความเข้าใจถึงภาษีที่ต้องเสียและหลักการบริหารจัดการได้อย่างชัดเจน ก็สามารถจัดการด้านภาษีด้วยตนเองได้ โดยมีการศึกษากฎหมายและขอคำปรึกษาจากสรรพากรอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถบริหารภาษีได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ และเป็นระบบ
ธุรกิจแฟรนไชส์นั้นแม้จะเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมายาวนาน แต่หากด้านบริหารจัดการในเรื่องภาษีไม่ถูกวิธีหรือผิดพลาด
สรุป
การทำธุรกิจแฟรนไชส์นั้นมีภาษีที่สำคัญที่ต้องเสีย ได้แก่ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีหัก ณ ที่จ่าย โดยผู้ประกอบการจำเป็นต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ พร้อมทั้งวางระบบการบริหารจัดการด้านภาษีไว้ให้เรียบร้อย หรืออาจพิจารณาจ้างผู้เชี่ยวชาญคอยดูแล เพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อการถูกปรับเนื่องจากละเลยในเรื่องภาษี
โอกาสในการเปิดมุมมองใหม่กับ PartTimeTH จะพาคุณสำรวจอาชีพเสริมและแหล่งรายได้ที่หลายคนอาจมองข้ามแล้วพบกันในบทความถัดไป ติดตามประกาศรับสมัครงานเพิ่มเติมได้ที่ Facebook หางาน Part Time งานพิเศษ ทำที่บ้าน เสาร์ อาทิตย์