7 พฤติกรรมทำลายสุขภาพของคนวัยทำงานที่ควรหลีกเลี่ยง
1. อดอาหารเช้า หรือทานข้าวไม่ตรงเวลา
การอดอาหารเช้าหรือการที่ไม่รับประทานอาหารตามเวลาที่เหมาะสมอาจเป็นเหตุให้เกิดโรคต่างๆได้จริง การที่ร่างกายขาดสารอาหารหลักๆ เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน อาจทำให้ร่างกายไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และสามารถทำให้เกิดโรคกระเพาะได้จริงๆ นอกจากนี้ยังทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงได้ ทำให้เกิดอาการเหนื่อยล้า ไม่มีแรงขึ้นทำงาน และอาจจะเสี่ยงต่อโรคเบาหวานได้อีกด้วย
การรับประทานอาหารตามเวลาที่เหมาะสมมีความสำคัญมากในการรักษาสุขภาพที่ดี นอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลายๆ ชนิดแล้ว ยังช่วยให้ร่างกายมีพลังงานในการทำงานตลอดวันอีกด้วย ดังนั้น ควรใส่ใจในการรับประทานอาหารทุกมื้ออย่างเพียงพอและตรงเวลาเสมอไป
2. รับประทานอาหารไม่มีประโยชน์
การบริโภคอาหารประเภท Junk Food หรืออาหารสำเร็จรูปที่มีไขมันสูง น้ำตาลและโซเดียมสูงมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ อย่างมาก ไขมันและคอเลสเตอรอลสูงสามารถเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ นอกจากนี้ การบริโภคน้ำตาลมากๆ อาจทำให้เกิดโรคเบาหวาน และอาหารที่มีโซเดียมสูงอาจทำให้เกิดปัญหาด้านความดันเลือดสูงและโรคหัวใจเพิ่มขึ้นด้วย
นอกจากนี้ อาหารประเภทนี้มักจะมีพลังงานสูงแต่น้อยในโปรตีน ซึ่งอาจทำให้เกิดอ้วนได้ และการบริโภคอาหารประเภทนี้เป็นระยะเวลายาวๆ อาจทำให้เกิดอาการเสี่ยงต่อโรคต่างๆ ได้ ดังนั้น ควรพยายามที่จะลดการบริโภคอาหารประเภทนี้ให้น้อยลง และใช้เวลาสำหรับการเตรียมอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น
3. นั่งจ้องคอมพิวเตอร์นานเกินไป
พนักงานที่ทำงานออฟฟิศนอกจากเวลากินข้าวกับประชุมแล้ว ส่วนใหญ่มักจะอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโน็ตบุ๊คเป็นหลัก ซึ่งการที่จ้องหน้าจอเวลานานจนเกิดไปโดยที่ไม่ขยับตัวเลย อาจจะทำให้เกิดผลเสียได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นโรคยอดนิยมอย่าง ออฟฟิศซินโดรม ที่หากไม่ทำการรักษาให้ดีอาจจะเสี่ยงให้เกิดความพิการได้
โดยวิธีในการลดความเสี่ยงของออฟฟิศซินโดรมคือการลุกออกจากหน้าจอบ้าง โดยในหนึ่งชั่วโมงควรที่จะพักสายตาและยืดเส้นยืดสายสัก 5 นาที หรืออาจจะใช้วิธีในการเดินไปห้องน้ำ แบบนี้จะช่วยทำให้ร่างกาย
4. กลั้นปัสสาวะขณะทำงาน ไม่ยอมลุกไปเข้าห้องน้ำ
การกลั้นปัสสาวะนานๆ ในระหว่างทำงานอาจมีผลกระทบต่อสุขภาพได้ เป็นที่รู้จักว่าการกลั้นปัสสาวะนานๆ อาจเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาของทางเดินปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะได้ เช่น การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ หรือการพัฒนาโรคกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ยังอาจเสี่ยงต่อการเกิดก้อนหินในไต และโรคป้องกันการทำงานของกระเพาะปัสสาวะด้วย
นอกจากนี้การกลั้นปัสสาวะนานๆ ยังสามารถทำให้รู้สึกไม่สะดวกสบายและมีความเครียดเพิ่มขึ้นในการทำงานได้ด้วย ดังนั้น คำแนะนำที่ดีคือให้พักการทำงานอย่างสั้นๆ และเดินไปยังห้องน้ำเมื่อรู้สึกต้องการ นอกจากนี้ควรรับประทานน้ำมากเพียงพอเพื่อสุขภาพของทางเดินปัสสาวะด้วย
5. นอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ
การนอนนั้นเป็นการซ่อมแซมและฟื้นฟูร่างกายที่สำคัญ ในระหว่างที่เราหลับ ร่างกายจะทำการซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสื่อมสภาพ พัฒนาตัวเอง และล้างพิษออกจากร่างกาย นอนน้อยเกินไปอาจทำให้ร่างกายขาดพลังงานและไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังมีผลต่อสุขภาพจิตและความจำด้วย
การให้เวลาให้กับการพักผ่อนและการนอนหลับเพียงพอคือสิ่งที่สำคัญมากสำหรับการดูแลสุขภาพในระยะยาว ดังนั้น พยายามรักษานิสัยการนอนที่ดีและมีประสิทธิภาพในการทำงานและชีวิตประจำวันของคุณครับ
6. ดื่มเหล้า สูบบุหรี่
เรื่องของการสังสรรค์ในองค์กรเป็นสิ่งที่ดีเพื่อสร้างบรรยากาศที่ดี ช่วยเสริมสร้างความร่วมมือและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพนักงาน และช่วยลดความเครียดทางการทำงานได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม การสังสรรค์ที่มากเกินไปหรือการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำอาจมีผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว เช่น การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำอาจเสี่ยงต่อโรคตับแข็ง มะเร็งตับ หรือโรคหัวใจ นอกจากนี้การสูบบุหรี่ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งปอด โรคถุงลมโป่งพอง โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคอื่น ๆ ได้ด้วย
ดังนั้นหากอยากสุขภาพแข็งแรงก็ควรเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ หรือลดให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
7. ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย
ชีวิตที่เร่งรีบและงานที่หนักจนเกิดไป ทำให้หลาย ๆ คนลืมว่า เราควรออกกำลังกายด้วย เพราะการออกกำลังกายเป็นจุดเริ่มต้นของสุขภาพที่ดี ช่วยสร้างสมดุลให้ร่างกายและปรับสมดุลให้กับชีวิต จะทำให้เรามีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกทาง เราควรจะออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว
สรุปส่งท้าย
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ดีตามที่คุณกล่าวถึงจะช่วยให้คุณรักษาสุขภาพที่ดีและลดความเสี่ยงต่อโรคในระยะยาวได้มากๆ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่มีคุณภาพ หรือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ร่างกายของคุณแข็งแรงและมีสุขภาพที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ยังควรให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพจิตอีกด้วย โดยการจัดการกับความเครียดและการรับมือกับปัญหาในชีวิตประจำวันอย่างเหมาะสม ความสมดุลที่ดีระหว่างการทำงานและการดูแลตัวเองเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการเพิ่มคุณภาพชีวิตของคุณ