12 ปัจจัยที่มีผลทำให้คนอยากเปลี่ยนงานใหม่
1. สถานที่ตั้งออฟฟิศ
การโลเคชันของออฟฟิศเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสำคัญมากในการตัดสินใจเลือกที่จะเข้าทำงานกับบริษัทใดบริษัทหนึ่ง เพราะมีผลต่อคุณภาพชีวิตของพนักงานทั้งในเรื่องการเดินทางและความเครียดจากการจราจรในเมืองหลวงที่ไม่ค่อยมีเบาะแส นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่มนุษย์เงินเดือนหลายคนให้ความสำคัญเช่นกัน เช่น การมีคมนาคมที่สะดวกสบาย เช่น มีรถไฟฟ้าผ่านหน้าบริษัทหรือใกล้เคียง
การมองหาบริษัทที่ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีจึงเป็นเป้าหมายสำคัญ เพราะนอกจากจะช่วยลดความเครียดจากการเดินทางแล้ว ยังสามารถช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของพนักงานได้ โดยที่พวกเขาไม่ต้องเผชิญกับการจราจรที่ซับซ้อนทุกวันซึ่งอาจส่งผลทำให้สุขภาพจิตเสียหายได้ในระยะยาว
2. บรรยากาศการทำงาน
การ Burn Out สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ บางคนอาจเป็นเหตุจากเบื่อหน่ายกับบรรยากาศในออฟฟิศปัจจุบันที่เป็นแบบเดิมๆ พวกเขาจึงต้องการเปลี่ยนงานเพื่อแสวงหาช่องทางในการเริ่มต้นชีวิตการทำงานในบรรยากาศใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน หัวหน้าที่ทำงานดีกว่า เพื่อนร่วมงานที่สนิทกว่า หรือสถานที่ตั้งของบริษัทที่สะดวกมากขึ้น เมื่อพวกเขาได้พบเจอสิ่งใหม่ๆ พวกเขาจะรู้สึกท้าทายและช่วยปลุกไฟในการทำงานให้กลับมามีความมั่นใจและกระตือรือร้นอีกครั้งได้
การเปลี่ยนงานใหม่อาจเป็นทางออกที่ดีในการรับมือกับการ Burn Out เนื่องจากมันช่วยให้เราได้สัมผัสกับสิ่งใหม่ๆ และมอบโอกาสให้เราได้เติบโตและพัฒนาตนเองในทิศทางที่ต้องการได้มากขึ้น
3. ชื่อเสียงของบริษัท
บางคนอาจจะเริ่มต้นทำงานในบริษัทเล็กหรือ Start-Up แต่เมื่อพวกเขาเห็นว่ามีบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีชื่อเสียงเปิดรับสมัครงาน หรือมีโอกาสได้รับ Offer จากบริษัทชั้นนำ พวกเขาก็ไม่คิดที่จะปล่อยโอกาสตัวเองในการร่วมงานกับบริษัทชื่อดังระดับประเทศแน่นอน เพราะนอกจากจะเป็นความภาคภูมิใจเมื่อได้บอกให้ทุกคนรู้ว่าพวกเขาทำงานกับบริษัทชื่อดังแล้ว
จุดนี้ยังเป็นการช่วยเพิ่มประสบการณ์การทำงานที่ดีอีกด้วย เพราะถือเป็นแรงกระตุ้นที่ช่วยให้เราทำงานได้อย่างเต็มที่และพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานได้ดีขึ้นกว่าเดิม แถมยังสามารถต่อยอดในเส้นทางการทำงานในอนาคตของเราให้สดใสมากยิ่งขึ้น เนื่องจากมีชื่อของบริษัทชั้นนำมาประดับในเรซูเม่แล้ว
4. เพื่อนร่วมงาน
ปัญหาสุดคลาสสิกที่ทำให้คนต้องการเปลี่ยนงานมากที่สุดคือเรื่องของเพื่อนร่วมงาน หากโชคดีได้เพื่อนร่วมงานที่ดี พวกเขาจะช่วยเหลือกัน แก้ไขปัญหา และเข้าใจกันอย่างดี จึงสามารถผลิตผลงานออกมาตรงตามเวลาและมีประสิทธิภาพได้
แต่ถ้าโชคร้ายเจอเพื่อนร่วมงานที่ Toxic ที่เช่นมีพฤติกรรมไม่ดี ขี้เม้าท์ขี้นินทา อิจฉาริษยา หรือเกี่ยงงาน มักจะไม่ส่งผลดีต่อผลงานและสภาพจิตใจของคุณเอง สุดท้ายแล้วคุณอาจต้องพบกับการต้องเปลี่ยนงาน เพื่อไปหาทีมที่เหมาะสมกับคุณ ที่มีเคมีที่เข้ากันและทำงานได้อย่างมีความสุข
5. หัวหน้า
อีกหนึ่งปัญหาสุดคลาสสิกที่เป็นเหตุให้คนต้องการเปลี่ยนงานมากที่สุดคงหนีไม่พ้นการเจอเพื่อนร่วมงานที่มีพฤติกรรมเสีย บางคนอาจยังทนได้ถ้าเจอเพื่อนร่วมงานที่มีพฤติกรรมเสีย แต่ถ้าเจอหัวหน้าหรือเจ้านายที่มีพฤติกรรมเสียอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าที่เอาเปรียบ ไม่เอาผิดชอบ หรือมีพฤติกรรมที่ไม่เป็นมิตร เป็นต้น อาจต้องคิดถึงการลาออกเป็นทางเลือก บางคนที่เผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายมากๆ ก็อาจตัดสินใจลาออกแม้ว่ายังไม่มีงานใหม่ เพราะหากเจอหัวหน้าที่ไม่ดี ต้องพิจารณาว่าคุณควรให้โอกาสตัวเองมีความสุขในการทำงานหรือการเติบโตในหน้าที่งานเป็นไปได้หรือไม่
6. เป้าหมายไม่ตรงกับองค์กร
บางคนอาจรู้สึกว่าตัวเองมาทำอะไรที่บริษัทนี้ นั่นอาจเป็นเพราะเป้าหมายการทำงานที่ตั้งไว้ไม่ตรงกับเป้าหมายขององค์กร ซึ่งเป็นเรื่องของวิสัยทัศน์จากผู้บริหารที่ทำหน้าที่กำหนดทิศทางและเป้าหมายขององค์กร บางคนอาจไม่เชื่อในวิสัยทัศน์เหล่านี้ หรือคิดว่าเป้าหมายที่องค์กรตั้งไว้นั้นไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง การทำงานที่นี่ต่อไปอาจไม่ได้พัฒนาตัวเองหรือไม่ได้รับโอกาสที่ดีในการเติบโตในหน้าที่การงานตามที่คาดหวัง
7. สวัสดิการ
ในยุคปัจจุบัน หลายบริษัทต่างนำเสนอสวัสดิการที่น่าสนใจเพื่อดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถให้มาร่วมงาน สิ่งนี้ถือเป็นประโยชน์แท้จริงสำหรับมนุษย์เงินเดือน การที่บริษัทให้ความสำคัญกับการดูแลพนักงานจะทำให้พนักงานรู้สึกว่าบริษัทเห็นคุณค่าของพวกเขา และพร้อมที่จะทุ่มเทสร้างผลงานที่มีคุณภาพตอบแทนให้กับบริษัท
แต่ถ้าบริษัทใดที่สวัสดิการไม่ตอบโจทย์พนักงาน อาจกลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พนักงานคิดอยากเปลี่ยนงาน เพื่อหาบริษัทที่มีสวัสดิการที่ครบครันและเหมาะสมกว่าในการทำงาน
8. การเติบโตในหน้าที่การงาน
พนักงานทุกคนล้วนวางแผนเส้นทางอาชีพของตนเองแทบทั้งสิ้น คงไม่มีใครที่ต้องการย่ำอยู่กับที่ ทำงานในตำแหน่งเดิมไปเรื่อยๆ ทุกคนต่างก็อยากได้รับการเลื่อนตำแหน่งและเงินเดือนที่สูงขึ้นตามประสบการณ์และอายุการทำงาน แต่หากบริษัทที่พวกเขาทำงานอยู่ละเลยเรื่องนี้ หรือปล่อยให้พวกเขาทำงานไปวันๆ โดยไม่มีจุดหมายชัดเจน ไม่มีโครงสร้างการปรับตำแหน่งที่แน่นอน การเปลี่ยนงานก็คงเป็นทางออกที่ทำให้พวกเขาได้ขยับขยายและเติบโตในหน้าที่การงาน
บางคนเลือกใช้วิธีการเปลี่ยนงาน เพื่อเป็นการอัปเกรดตำแหน่งหน้าที่การงาน ยิ่งสำหรับคนที่มีทักษะและประสบการณ์สูง การสมัครงานใหม่ในตำแหน่งที่ใหญ่ขึ้นก็คงไม่ใช่เรื่องยากเลย
9. งานไม่ตรงกับทักษะ
การสร้างสรรค์ผลงานที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยทักษะเฉพาะในงานนั้นๆ บางคนสมัครงานตรงสายจริง แต่เมื่อได้เข้ามาทำงานในบริษัท กลับถูกมอบหมายงานที่หลากหลายเกินไป ซึ่งบางอย่างอาจไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาถนัด ไม่มีประสบการณ์ หรือขาดทักษะในการทำสิ่งนั้นให้มีคุณภาพ สิ่งนี้อาจทำให้เกิดความเบื่อหน่ายจนต้องการเปลี่ยนงาน
บางคนมีความพยายามในการฝึกฝนและพัฒนาตัวเองเพื่อทำงานทุกอย่าง แต่สุดท้ายกลับได้รับการประเมินผลที่ไม่ดี หรือบริษัทไม่เห็นคุณค่าจากการทุ่มเทของพวกเขา ขอย้ายทีมหรือปฏิเสธเพราะไม่ถนัด แต่บริษัทก็ยังนิ่งเฉย ไม่มีประโยชน์ที่พวกเขาจะทนอยู่ต่อไป
10. สมดุลชีวิตกับงาน
เราอยู่ในยุคที่การสร้างสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว (Work Life Balance) กลายเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง พนักงานหลายคนให้ความสำคัญกับการแยกแยะระหว่างเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวออกจากกันอย่างชัดเจน ในเวลางานก็ทุ่มเทกับงานอย่างเต็มที่ แต่ในเวลาส่วนตัวก็ต้องการได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ และใช้เวลากับชีวิตส่วนตัวอย่างเหมาะสม
แต่หากมีบริษัทที่ไม่เคารพเวลาส่วนตัวของพนักงาน สั่งงานอย่างหนักหน่วงจนพนักงานต้องทำงานล่วงเวลา หรือหอบงานกลับไปทำที่บ้าน ก็อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พนักงานต้องการเปลี่ยนงาน
นอกจากนี้ยังรวมถึงการตามงานนอกเวลางาน การขอให้ทำงานเร่งด่วนในวันหยุด หรือการใช้แชทส่วนตัวในการสื่อสารแทนที่จะใช้แอปพลิเคชันที่บริษัทกำหนด สิ่งเหล่านี้ถือเป็นปัจจัยที่ทำให้พนักงานหลายคนรู้สึกเบื่อหน่ายและไม่พอใจเช่นกัน
11. ความมั่นคงในหน้าที่การงาน
สถานการณ์โควิดได้ส่งผลกระทบระยะยาวต่อทั้งสุขภาพของมนุษย์และเศรษฐกิจโลก หลายบริษัทต้องปิดตัวลงเนื่องจากปัญหาดังกล่าว ในขณะที่บางบริษัทก็พยายามฟื้นตัวเพื่อกลับมาทำกำไรให้ได้ตามปกติ หากบริษัทเหล่านี้สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับพนักงานได้ ว่าบริษัทยังคงสามารถเดินหน้าต่อไปโดยไม่มีผลกระทบมากนัก พนักงานก็จะรู้สึกว่าตนเองมีความมั่นคงในชีวิตและไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเลย์ออฟกลางคัน
อย่างไรก็ตาม หากบริษัทไม่มีการชี้แจงผลประกอบการให้พนักงานทราบ หรือไม่สามารถแสดงให้พนักงานเห็นถึงความมั่นคงได้ พนักงานก็จะรู้สึกไม่แน่นอนและกังวลว่าจะต้องตกงานแบบกะทันหัน หรือโดนเลย์ออฟโดยไม่ทันตั้งตัว ซึ่งอาจทำให้พวกเขาตัดสินใจส่งใบลาออกเพื่อหางานใหม่ในบริษัทที่มีความมั่นคงกว่า
12. อยากพัฒนาตัวเอง
บางคนหลงใหลในความท้าทายและต้องการค้นหาสิ่งใหม่ๆ ให้กับตัวเองอยู่เสมอ แม้ว่าลึกๆ แล้ว บริษัทที่พวกเขาทำงานอยู่ในปัจจุบันจะไม่มีปัญหาอะไรมากมาย หัวหน้าที่ดี เพื่อนร่วมงานที่น่ารัก สวัสดิการที่ครบครัน หรือวัฒนธรรมองค์กรที่เข้ากันได้ แต่พวกเขาเหล่านี้มักอยากพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง การเปลี่ยนงานจึงเป็นทางเลือกที่ทำให้พวกเขาได้พบกับความท้าทายใหม่ๆ ได้ฝึกฝนทักษะ หรือเรียนรู้ประสบการณ์อื่นๆ เพิ่มเติม
สรุป
การเปลี่ยนงานไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดอะไรเลย มนุษย์เงินเดือนควรพิจารณาข้อดีข้อเสียให้ถี่ถ้วนก่อนที่จะตัดสินใจเปลี่ยนงาน เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีและไม่ใช่เพียงอารมณ์ชั่ววูบหรืออาการ Burn Out ที่สามารถแก้ไขได้ ทุกออฟฟิศมีปัญหาและความท้าทายของมันเอง แต่แต่ละบริษัทก็มีลักษณะที่แตกต่างกันไป การตัดสินใจที่ดีควรพิจารณาทั้งสิ่งดังกล่าว เพื่อให้แน่ใจว่าการเปลี่ยนงานเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับคุณ หากคุณตัดสินใจดีแล้ว ควรพยายามหางานใหม่ก่อนที่จะลาออกจากงานปัจจุบัน เพื่อให้มั่นใจว่าคุณมีความมั่นคงในชีวิตและอาชีพของคุณได้ในที่สุด