เว็บไซต์หางาน Part Time และประกาศรับสมัครงานทุกประเภท

การลาออกจากงาน เป็นเรื่องของการทำงาน ไม่ใช่ไม่อดทน

การลาออกจากงาน เป็นเรื่องของการทำงาน ไม่ใช่ไม่อดทน
การลาออกจากงานไม่ใช่เรื่องของการไม่อดทนเสมอไป อาจเป็นการตัดสินใจที่เกิดจากการประเมินสถานการณ์และรู้ว่ามีทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับตนเอง การลาออกอาจเป็นผลจากการรู้ว่าอาชีพหรือสภาพแวดล้อมที่คุณอยู่ไม่เหมาะสมกับคุณ ไม่ได้สอดคล้องกับเป้าหมายหรือคุณค่าของคุณ หรือส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจของคุณ PartTimeTH จะพาไปหาสาเหตุของการลาออกจากงานว่าเกิดจากอะไรได้บ้าง

สาเหตุของการลาออกจากงาน เกิดจากอะไร ?

สาเหตุของการลาออกมีหลายปัจจัย ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละคนและลักษณะของงานหรือองค์กร สาเหตุหลักที่คนมักตัดสินใจลาออก ได้แก่

1. สภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่ดี

สภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่ดีเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พนักงานรู้สึกไม่มีความสุขและอาจพิจารณาลาออก ปัจจัยที่มักพบในสถานการณ์เช่นนี้ ได้แก่:

1. ความขัดแย้งบ่อยครั้ง: เมื่อมีความขัดแย้งระหว่างเพื่อนร่วมงานหรือระหว่างพนักงานกับผู้บังคับบัญชาบ่อย ๆ อาจทำให้เกิดความตึงเครียดและบรรยากาศที่ไม่เป็นมิตร การสื่อสารที่ไม่ดี การไม่เข้าใจกัน หรือการขาดความร่วมมือสามารถทำให้พนักงานรู้สึกไม่สบายใจ

2. การขาดการสนับสนุน: หากพนักงานรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับการสนับสนุนจากหัวหน้า หรือละเลยต่อปัญหาหรือความต้องการของพวกเขา จะทำให้พวกเขารู้สึกไม่มั่นคงและขาดความมั่นใจในการทำงาน นอกจากนี้ การไม่มีทรัพยากรหรือเครื่องมือที่เพียงพอในการทำงานยังทำให้พนักงานรู้สึกท้อแท้และไม่มีแรงจูงใจ

3. ความกดดันสูงมากเกินไป: การทำงานภายใต้ความกดดันที่สูงเกินไปเป็นเวลานาน ๆ โดยไม่มีการพักผ่อนหรือความยืดหยุ่นในงาน อาจทำให้พนักงานเกิดความเครียดและอาการหมดไฟ (burnout) ซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพจิตและร่างกาย การต้องทำงานในสภาวะที่มีเดดไลน์ตลอดเวลา หรือมีความคาดหวังที่สูงเกินไปโดยไม่ได้รับการสนับสนุนเพียงพอ ทำให้พนักงานรู้สึกว่าไม่สามารถรับมือได้

สภาพแวดล้อมที่ไม่ดีเช่นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้พนักงานไม่มีความสุข แต่ยังส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานและความสัมพันธ์ภายในทีมอีกด้วย การแก้ไขสภาพแวดล้อมเช่นนี้จำเป็นต้องมีการสื่อสารที่ดี การสนับสนุนจากฝ่ายบริหาร และการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมความร่วมมือและความเข้าใจระหว่างกัน

2. ความไม่พอใจในงาน

ความไม่พอใจในงานเป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้พนักงานตัดสินใจลาออก ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความไม่พอใจในงานมักประกอบด้วย

1. ขาดโอกาสในการพัฒนา: หากพนักงานรู้สึกว่าไม่มีโอกาสในการเติบโตหรือพัฒนาทักษะเพิ่มเติม เช่น ไม่มีโอกาสได้รับการฝึกอบรม หรือไม่ได้รับการโปรโมตในตำแหน่งงานที่สูงขึ้น พนักงานอาจรู้สึกว่าตนเองไม่มีอนาคตในองค์กรนั้น ๆ และตัดสินใจหางานใหม่ที่มีโอกาสพัฒนาได้ดีกว่า

2. การไม่ได้ใช้ทักษะอย่างเต็มที่: เมื่อพนักงานรู้สึกว่างานที่ทำไม่สามารถดึงศักยภาพของตนออกมาได้ หรือไม่ได้ใช้ทักษะและความสามารถที่ตนมี อาจทำให้พวกเขารู้สึกเบื่อหน่ายและไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน การที่งานไม่ท้าทายหรือไม่ตรงกับความสนใจของพนักงาน ทำให้เกิดความรู้สึกว่าไม่ได้รับคุณค่าจากการทำงาน

3. การไม่ได้รับการยอมรับหรือการชื่นชม: หากพนักงานรู้สึกว่าความพยายามหรือผลงานของตนไม่ได้รับการยอมรับหรือชื่นชมจากผู้บังคับบัญชา อาจทำให้พวกเขารู้สึกท้อแท้และไม่มีความสุขในการทำงาน การไม่ได้รับคำชื่นชม หรือการไม่ได้รับการส่งเสริมจากองค์กรเป็นสาเหตุที่ทำให้พนักงานรู้สึกว่าไม่มีความสำคัญในองค์กร

4. ขาดความเชื่อมโยงกับวัตถุประสงค์ของงาน: หากพนักงานรู้สึกว่างานที่ทำไม่มีความหมาย หรือไม่สามารถเชื่อมโยงกับวัตถุประสงค์ส่วนตัวหรือค่านิยมของตนได้ อาจทำให้พวกเขารู้สึกไม่มีแรงบันดาลใจและไม่พอใจกับงานที่ทำอยู่

5. ความไม่พอใจในการจัดการงาน: หากพนักงานรู้สึกว่ามีการจัดการงานที่ไม่ดี หรือมีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีการวางแผนหรือสื่อสารอย่างเหมาะสม อาจทำให้เกิดความสับสนและความไม่พอใจ

การที่พนักงานไม่พอใจในงานสามารถส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานและความสัมพันธ์ในองค์กร การสร้างโอกาสในการพัฒนา การส่งเสริมการใช้ทักษะอย่างเต็มที่ และการยอมรับความสำเร็จของพนักงานเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความพึงพอใจและแรงจูงใจในการทำงาน

3. ปัญหาความสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชา

ปัญหาความสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชาเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยในการตัดสินใจลาออกของพนักงาน ความขัดแย้งหรือความไม่ลงรอยกับผู้บังคับบัญชามีผลกระทบต่อสภาพจิตใจและความพึงพอใจในการทำงาน ปัจจัยที่มักก่อให้เกิดปัญหาด้านนี้ ได้แก่

1. การสื่อสารที่ไม่ดี: เมื่อการสื่อสารระหว่างพนักงานและผู้บังคับบัญชาไม่ชัดเจนหรือไม่เปิดเผย อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด และนำไปสู่ความขัดแย้ง การที่ผู้บังคับบัญชาไม่เปิดโอกาสให้พนักงานแสดงความคิดเห็น หรือไม่รับฟังความคิดเห็นของพนักงาน อาจทำให้พนักงานรู้สึกว่าตนไม่ได้รับการยอมรับหรือไม่มีส่วนร่วมในทีม

2. การบริหารจัดการที่ไม่เหมาะสม: ผู้บังคับบัญชาที่มีการบริหารจัดการที่ไม่ยุติธรรมหรือมีการเลือกที่รักมักที่ชัง สามารถสร้างความไม่พอใจและความเครียดให้กับพนักงานได้ การที่ผู้บังคับบัญชามีการวิจารณ์หรือประเมินผลงานของพนักงานอย่างไม่เป็นธรรม อาจทำให้พนักงานรู้สึกว่าตนไม่ได้รับการสนับสนุนหรือได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม

3. การขาดความเป็นผู้นำ: ผู้บังคับบัญชาที่ไม่มีความสามารถในการนำทีม หรือไม่สามารถแก้ไขปัญหาหรือสนับสนุนทีมได้อย่างเหมาะสม อาจทำให้พนักงานรู้สึกไม่มั่นใจและไม่พอใจ การที่ผู้บังคับบัญชาขาดความสามารถในการตัดสินใจ หรือไม่มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน อาจทำให้พนักงานรู้สึกว่างานของตนไม่มีทิศทาง

4. ความกดดันจากผู้บังคับบัญชา: ผู้บังคับบัญชาที่มีการตั้งเป้าหมายหรือความคาดหวังที่สูงเกินไป โดยไม่สนับสนุนหรือให้คำแนะนำที่เพียงพอ อาจทำให้พนักงานรู้สึกกดดันและหมดไฟในการทำงาน ความคาดหวังที่ไม่สมเหตุสมผลหรือการต้องทำงานภายใต้ความกดดันที่มากเกินไป อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตและร่างกายของพนักงาน

5. การขาดการยอมรับหรือการสนับสนุน: ผู้บังคับบัญชาที่ไม่ให้การยอมรับหรือไม่สนับสนุนการทำงานของพนักงาน อาจทำให้พนักงานรู้สึกว่าตนไม่มีคุณค่า การไม่ได้รับคำชื่นชมหรือการยอมรับในผลงานของตนเอง อาจทำให้พนักงานรู้สึกท้อแท้และไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน

การที่พนักงานมีปัญหาความสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชา อาจทำให้พวกเขารู้สึกไม่มีความสุขในการทำงานและมองหาโอกาสในการทำงานที่อื่น การแก้ไขปัญหานี้อาจต้องอาศัยการสื่อสารที่เปิดเผย การสนับสนุนและการพัฒนาทักษะการเป็นผู้นำของผู้บังคับบัญชา รวมถึงการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นความเคารพและความร่วมมือกัน

ลาออก

4. การจ่ายค่าตอบแทนที่ไม่เป็นธรรม

การจ่ายค่าตอบแทนที่ไม่เป็นธรรมเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พนักงานรู้สึกไม่พอใจและตัดสินใจลาออก เมื่อพนักงานรู้สึกว่าค่าตอบแทนที่ได้รับไม่สอดคล้องกับความพยายามหรือความสามารถที่พวกเขาใช้ในการทำงาน หรือรู้สึกว่าตนเองได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมงานในตำแหน่งเดียวกัน สาเหตุของปัญหานี้อาจรวมถึง

1. การจ่ายเงินเดือนที่ต่ำกว่าเกณฑ์: หากพนักงานรู้สึกว่าตนได้รับเงินเดือนที่ต่ำกว่ามาตรฐานของอุตสาหกรรม หรือน้อยกว่าเพื่อนร่วมงานในตำแหน่งเดียวกันโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน อาจทำให้พวกเขารู้สึกว่าตนไม่ได้รับการประเมินค่าตามที่ควรจะเป็น ซึ่งส่งผลให้พวกเขารู้สึกไม่พอใจและอาจมองหางานที่จ่ายค่าตอบแทนที่สูงขึ้น

2. การขาดความโปร่งใสในการจ่ายค่าตอบแทน: หากองค์กรไม่มีนโยบายที่ชัดเจนและโปร่งใสเกี่ยวกับการจ่ายค่าตอบแทน หรือไม่มีเกณฑ์ที่ชัดเจนในการกำหนดเงินเดือนและโบนัส อาจทำให้พนักงานรู้สึกว่ามีการเลือกที่รักมักที่ชังหรือการปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรม

3. การขาดการขึ้นเงินเดือนหรือโบนัส: พนักงานที่ทำงานหนักและมีผลงานดีแต่ไม่ได้รับการขึ้นเงินเดือนหรือโบนัสตามสมควร อาจรู้สึกว่าองค์กรไม่เห็นคุณค่าหรือไม่สนับสนุนความก้าวหน้าในอาชีพของตน การไม่ได้รับรางวัลหรือค่าตอบแทนเพิ่มเติมเมื่อเทียบกับความพยายามที่ทำลงไป อาจทำให้พนักงานรู้สึกท้อแท้และไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน

4. การเปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมงาน: เมื่อพนักงานรู้สึกว่าตนได้รับค่าตอบแทนน้อยกว่าผู้อื่นที่มีตำแหน่งหรือความรับผิดชอบคล้ายกัน อาจทำให้เกิดความรู้สึกไม่ยุติธรรมและความไม่พอใจ การเปรียบเทียบกันในหมู่พนักงานสามารถทำให้เกิดบรรยากาศที่ไม่ดีในที่ทำงาน และส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างพนักงาน

5. ค่าตอบแทนไม่สอดคล้องกับภาระงาน: ถ้าพนักงานรู้สึกว่าภาระงานที่พวกเขาต้องรับผิดชอบเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ค่าตอบแทนยังคงเท่าเดิม หรือไม่สอดคล้องกับภาระงานที่มากขึ้น อาจทำให้พวกเขารู้สึกไม่พอใจและเห็นว่าตนไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรม

การที่พนักงานรู้สึกว่าค่าตอบแทนที่ได้รับไม่เป็นธรรมสามารถนำไปสู่การลดลงของประสิทธิภาพการทำงานและความพึงพอใจในงาน รวมถึงการตัดสินใจลาออก เพื่อแก้ไขปัญหานี้ องค์กรควรมีการกำหนดนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการจ่ายค่าตอบแทน และให้ความสำคัญกับความโปร่งใสและความยุติธรรมในการประเมินค่าตอบแทนของพนักงาน

5. สมดุลชีวิตและงานไม่ดี

สมดุลชีวิตและงานที่ไม่ดีเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้พนักงานตัดสินใจลาออก การที่งานส่งผลกระทบต่อชีวิตส่วนตัวหรือสุขภาพสามารถสร้างความเครียดและความไม่พึงพอใจ ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่จะหางานที่ให้สมดุลที่ดีกว่า ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับปัญหานี้ ได้แก่

1. ชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานเกินไป: การที่พนักงานต้องทำงานล่วงเวลาบ่อยครั้ง หรือมีชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานเกินไป อาจทำให้พวกเขาไม่มีเวลาเพียงพอสำหรับครอบครัว การพักผ่อน หรือกิจกรรมส่วนตัว ซึ่งส่งผลต่อความสุขและสุขภาพของพนักงานในระยะยาว

2. ความคาดหวังในการตอบสนองตลอดเวลา: ในบางองค์กร พนักงานอาจรู้สึกว่าพวกเขาต้องพร้อมทำงานตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการตอบอีเมลหรือตอบสนองต่อความต้องการของงานนอกเวลาทำการ ซึ่งทำให้พวกเขาไม่สามารถแยกเวลางานออกจากเวลาส่วนตัวได้ ส่งผลให้เกิดความเครียดและความรู้สึกหมดไฟ (burnout)

3. ความกดดันในการทำงาน: ความคาดหวังที่สูงเกินไปจากผู้บังคับบัญชาหรือองค์กร อาจทำให้พนักงานรู้สึกกดดันและต้องใช้เวลามากขึ้นในการทำงานเพื่อให้ทันกับเดดไลน์หรือเป้าหมายที่ตั้งไว้ ความกดดันนี้อาจนำไปสู่ความเครียดและส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตและร่างกายของพนักงาน

4. การเดินทางที่ใช้เวลานาน: การเดินทางไปทำงานที่ใช้เวลานาน โดยเฉพาะในเมืองที่มีการจราจรติดขัด สามารถเพิ่มความเครียดและลดเวลาที่พนักงานมีให้กับครอบครัวหรือการพักผ่อน การเดินทางที่เหนื่อยล้าทุกวันอาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและความสุขโดยรวม

5. การขาดการสนับสนุนจากองค์กรในการรักษาสมดุล: หากองค์กรไม่มีนโยบายหรือวัฒนธรรมที่ส่งเสริมให้พนักงานสามารถรักษาสมดุลระหว่างชีวิตและงาน เช่น การอนุญาตให้ทำงานจากบ้าน (remote work) หรือการมีวันลาพักร้อนที่เพียงพอ อาจทำให้พนักงานรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับการสนับสนุนและตัดสินใจลาออกเพื่อหาสถานที่ทำงานที่มีสมดุลที่ดีกว่า

6. ผลกระทบต่อสุขภาพ: งานที่มีความกดดันสูงหรือชั่วโมงการทำงานที่ไม่ปกติสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ เช่น ทำให้นอนไม่พอ มีความเครียดสะสม หรือเกิดปัญหาสุขภาพเรื้อรัง การต้องทำงานในสภาวะที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพอาจทำให้พนักงานตัดสินใจลาออกเพื่อรักษาสุขภาพและหาสมดุลที่ดีกว่า

การรักษาสมดุลชีวิตและงานเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่เพียงแต่ช่วยให้พนักงานมีความสุขและสุขภาพดีขึ้น แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและความพึงพอใจในอาชีพ การสนับสนุนให้พนักงานสามารถรักษาสมดุลนี้ได้เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญในการรักษาพนักงานให้คงอยู่กับองค์กรในระยะยาว

6. ปัญหาด้านสุขภาพ

ปัญหาด้านสุขภาพที่เกิดจากการทำงานเป็นเหตุผลที่สำคัญที่ทำให้พนักงานตัดสินใจลาออก เพื่อรักษาสุขภาพและคุณภาพชีวิตของตนเอง ปัจจัยที่สามารถส่งผลต่อสุขภาพและทำให้พนักงานต้องลาออก ได้แก่

1. ความเครียดสูง: การทำงานภายใต้ความกดดันหรือความเครียดสูงอย่างต่อเนื่องสามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตและร่างกาย เช่น อาการวิตกกังวล ซึมเศร้า หรือปัญหาการนอนหลับ การทำงานในสภาพแวดล้อมที่เครียดสามารถทำให้พนักงานรู้สึกท้อแท้และหมดไฟ

2. ชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน: การทำงานเกินเวลาหรือชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานเกินไปสามารถทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ เช่น โรคหัวใจ ปัญหาหลัง และอาการเมื่อยล้าทางร่างกาย การขาดเวลาพักผ่อนและการนอนที่ไม่เพียงพออาจส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวม

3. การขาดการออกกำลังกาย: การนั่งทำงานตลอดทั้งวันโดยไม่มีการเคลื่อนไหวหรือออกกำลังกายเพียงพอสามารถนำไปสู่ปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน และปัญหาทางระบบการไหลเวียนโลหิต

4. สภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่ดี: สภาพแวดล้อมที่มีมลพิษหรืออันตราย เช่น สารเคมี เสียงดัง หรือสภาพแวดล้อมที่ไม่สะอาด สามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งระยะสั้นและระยะยาว

5. การขาดการสนับสนุนทางสุขภาพจากองค์กร: หากองค์กรไม่ให้ความสำคัญกับสุขภาพและความเป็นอยู่ของพนักงาน เช่น ไม่มีการให้บริการตรวจสุขภาพประจำปี หรือไม่มีการสนับสนุนในการดูแลสุขภาพ อาจทำให้พนักงานรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม

6. ปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน: บางอาชีพอาจมีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพเฉพาะ เช่น งานที่ต้องยืนตลอดทั้งวันอาจทำให้เกิดปัญหาข้อเท้าและเข่า หรือการทำงานในสภาวะที่มีความร้อนสูงอาจทำให้เกิดปัญหาทางผิวหนังและความร้อนในร่างกาย

การตัดสินใจลาออกเพื่อรักษาสุขภาพเป็นการตัดสินใจที่สำคัญและบางครั้งจำเป็น การให้ความสำคัญกับสุขภาพทั้งทางกายและจิตใจเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาคุณภาพชีวิตในระยะยาว การทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อสุขภาพอาจไม่คุ้มค่ากับการสูญเสียสุขภาพที่ดี ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่จะมองหางานที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพมากกว่า

ลาออกจากงาน

7. การเปลี่ยนแปลงในชีวิตส่วนตัว

การเปลี่ยนแปลงในชีวิตส่วนตัวเป็นเหตุผลที่พนักงานอาจตัดสินใจลาออกเพื่อปรับเปลี่ยนสถานการณ์ให้เข้ากับสถานะใหม่ในชีวิต การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อการทำงานและต้องการการปรับเปลี่ยนงานหรือการลาออกเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ใหม่ ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่

1. การย้ายที่อยู่: การย้ายที่อยู่ไปยังสถานที่ใหม่ ซึ่งอาจเป็นเมืองหรือประเทศใหม่ ทำให้พนักงานต้องหางานใหม่ที่อยู่ใกล้กับที่อยู่อาศัยใหม่ หรือทำงานที่สามารถรองรับการทำงานจากระยะไกล (remote work) การย้ายที่อยู่สามารถทำให้เกิดความยุ่งยากในการเดินทาง และอาจส่งผลต่อความสะดวกในการทำงาน

2. การแต่งงาน: การแต่งงานสามารถเปลี่ยนแปลงลำดับความสำคัญและความรับผิดชอบของพนักงาน เช่น ต้องการเวลามากขึ้นสำหรับชีวิตครอบครัวหรือการจัดการบ้านเรือน การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้พนักงานต้องหางานที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้นหรือที่สามารถรองรับเวลาที่ต้องใช้กับครอบครัว

3. การดูแลครอบครัว: ความรับผิดชอบในการดูแลสมาชิกในครอบครัว เช่น การดูแลบุตรหรือการดูแลพ่อแม่ที่มีอายุมาก อาจทำให้พนักงานต้องหางานที่มีความยืดหยุ่นในเรื่องเวลา หรือหางานที่สามารถทำจากบ้านได้ การต้องจัดการกับความรับผิดชอบในครอบครัวอาจทำให้พนักงานต้องปรับเปลี่ยนงานหรือเปลี่ยนแปลงลักษณะงานที่ทำอยู่

4. การศึกษาต่อ: การตัดสินใจศึกษาต่อเพื่อพัฒนาความรู้หรือทักษะใหม่ อาจทำให้พนักงานต้องลาออกจากงานปัจจุบันเพื่อมุ่งเน้นการศึกษาเต็มเวลา หรือหางานที่สามารถปรับให้เข้ากับตารางเรียน

5. การเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพ: การเปลี่ยนแปลงสุขภาพส่วนตัว เช่น การมีบุตรหรือการฟื้นฟูหลังจากการเจ็บป่วย สามารถทำให้พนักงานต้องปรับเปลี่ยนงานเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์สุขภาพของตนเองหรือครอบครัว

6. เหตุการณ์สำคัญในชีวิต: เหตุการณ์สำคัญอื่น ๆ เช่น การหย่าร้าง การสูญเสียสมาชิกในครอบครัว หรือการเปลี่ยนแปลงทางชีวิตที่สำคัญ สามารถส่งผลให้พนักงานต้องพิจารณาการลาออกเพื่อให้มีเวลาหรือความสามารถในการจัดการกับสถานการณ์ใหม่

การตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตส่วนตัวเป็นเรื่องที่สำคัญและเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ การหางานที่มีความยืดหยุ่น หรือสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้อาจช่วยให้พนักงานสามารถรักษาสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานได้ดียิ่งขึ้น

บทสรุปส่งท้าย

การลาออกเป็นการตัดสินใจที่ซับซ้อน และมักเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัยรวมกัน การตัดสินใจลาออกต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายอย่าง เช่น โอกาสในการเจริญเติบโตในสายงาน ความสมดุลระหว่างชีวิตและงาน และความสุขที่ได้จากการทำงาน การลาออกจึงไม่ใช่การยอมแพ้ แต่เป็นการเลือกทางที่ดีกว่าเพื่อตัวคุณเอง
ติดตามประกาศรับสมัครงานเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ PartTimeTH และ Facebook หางาน Part Time งานพิเศษ ทำที่บ้าน เสาร์ อาทิตย์

Share:

ความคิดเห็น

ประกาศที่เกี่ยวข้อง

สาเหตุที่ทำให้พนักงานหมดไฟ จากการทำงานเกิดจากงานแบบไหน ?

สาเหตุที่ทำให้พนักงานหมดไฟ จากการทำงานเกิดจากงานแบบไหน ?

ภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout) เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน การที่พนักงานหมดไฟจากการทำงาน เป็นได้หลายสาเหตุด้วยกัน โดยทาง…
บุคลิกภาพดี มีส่วนต่อการตัดสินใจเข้าทำงานจริงหรือ ?

บุคลิกภาพดี มีส่วนต่อการตัดสินใจเข้าทำงานจริงหรือ ?

บุคลิกภาพที่ดีมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจเข้าทำงานจริงๆ แต่ไม่ได้เป็นปัจจัยเดียว การมีทักษะที่เหมาะสมและความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่นมีความสำคัญเช่นกัน ดังนั้นควรพัฒนาบุคลิกภาพให้เหมาะสมพร้อมกับทักษะในสายงานเพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในองค์กร โดยในวันนี้ PartTimeTH…
วิธีรับมือคน Toxic ในสถานที่ทำงาน ต้องเตรียมตัวอย่างไร ?

วิธีรับมือคน Toxic ในสถานที่ทำงาน ต้องเตรียมตัวอย่างไร ?

ในสถานที่ทำงาน หลายคนอาจพบเจอกับบุคคลที่มีพฤติกรรมที่ทำให้บรรยากาศการทำงานตึงเครียด และส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของผู้อื่น คนเหล่านี้ถูกเรียกว่า “คน Toxic”…

หัวข้อ

ประกาศล่าสุด

[งานราชการ] รับสมัครพนักงานราชการทั่วไป สํานักงานขนส่งจังหวัดแพร่ 1 อัตรา

[งานราชการ] รับสมัครพนักงานราชการทั่วไป สํานักงานขนส่งจังหวัดแพร่ 1 อัตรา

ประกาศรับสมัครพนักงานราชการทั่วไป สํานักงานขนส่งจังหวัดแพร่ 1 อัตรา โดยรับสมัครด้วยตนเอง ตั้งแต่วันที่…
[งานราชการ] รับสมัครบรรจุบุคคลเข้ารับราชการ โรงพยาบาลอ่างทอง 1 อัตรา

[งานราชการ] รับสมัครบรรจุบุคคลเข้ารับราชการ โรงพยาบาลอ่างทอง 1 อัตรา

ประกาศรับสมัครบรรจุบุคคลเข้ารับราชการ โรงพยาบาลอ่างทอง 1 อัตรา โดยรับสมัครด้วยตนเอง ตั้งแต่วันที่…

บทความล่าสุด

สาเหตุที่ทำให้พนักงานหมดไฟ จากการทำงานเกิดจากงานแบบไหน ?

สาเหตุที่ทำให้พนักงานหมดไฟ จากการทำงานเกิดจากงานแบบไหน ?

ภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout) เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน การที่พนักงานหมดไฟจากการทำงาน เป็นได้หลายสาเหตุด้วยกัน โดยทาง…
บุคลิกภาพดี มีส่วนต่อการตัดสินใจเข้าทำงานจริงหรือ ?

บุคลิกภาพดี มีส่วนต่อการตัดสินใจเข้าทำงานจริงหรือ ?

บุคลิกภาพที่ดีมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจเข้าทำงานจริงๆ แต่ไม่ได้เป็นปัจจัยเดียว การมีทักษะที่เหมาะสมและความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่นมีความสำคัญเช่นกัน ดังนั้นควรพัฒนาบุคลิกภาพให้เหมาะสมพร้อมกับทักษะในสายงานเพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในองค์กร โดยในวันนี้ PartTimeTH…