ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ ข้อมูลหรือ Data กลายเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างมากในการดำเนินธุรกิจ เปรียบเสมือนน้ำมันสำหรับขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะมีขนาดเล็กหรือใหญ่ การนำ Data มาปรับใช้ก็มีข้อดีมากมายที่คุณไม่ควรมองข้าม ลองมาดูบทความนี้ว่า ทำไมธุรกิจควรหันมาใช้ Data Driven
Data Driven คืออะไร?
Data-driven หรือการขับเคลื่อนด้วยข้อมูล คือแนวคิดในการนำข้อมูลมาเป็นหัวใจสำคัญในการตัดสินใจ วางกลยุทธ์ และดำเนินงานในทุกระดับขององค์กร แทนที่จะใช้ความรู้สึก ประสบการณ์ หรือคาดเดาเอาเองเหมือนแต่ก่อน
เมื่อเรามีข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นปัจจุบัน มาประกอบการตัดสินใจ ก็จะช่วยให้การวิเคราะห์สถานการณ์ การวางแผน การแก้ปัญหา ไปจนถึงการคาดการณ์ผลลัพธ์ในอนาคต เป็นไปอย่างมีเหตุผล น่าเชื่อถือ และแม่นยำมากยิ่งขึ้น ลดความผิดพลาดจากการคาดเดาหรือใช้อารมณ์ชั่ววูบ
แต่การเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วย Data อย่างแท้จริง ไม่ได้หมายถึงแค่การลงทุนเครื่องมือหรือซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูลเท่านั้น สิ่งสำคัญคือต้องปรับเปลี่ยนทั้งกระบวนการคิด วัฒนธรรมการทำงาน และวิธีการตัดสินใจภายในองค์กร ให้ทุกคนหันมาใช้ข้อมูลเป็นตัวตั้งต้นในทุกเรื่อง (Data Driven Culture)
ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารระดับสูงที่ใช้ข้อมูลในการกำหนดทิศทางและกลยุทธ์องค์กร (Data Driven Strategy) ทีมการตลาดที่ใช้ข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าในการออกแบบแคมเปญ ไปจนถึงพนักงานแต่ละคนที่ใช้ข้อมูลในการปรับปรุงงานประจำวัน
เมื่อข้อมูลถูกนำมาใช้เป็นตัวขับเคลื่อนการทำงานของทุกฝ่ายอย่างเป็นระบบ ก็จะทำให้เกิดการเชื่อมโยง แบ่งปัน และใช้ประโยชน์จากข้อมูลร่วมกันทั่วทั้งองค์กร ผลักดันให้ทุกคนมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน ตัดสินใจบนพื้นฐานเดียวกัน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
ดังนั้นในยุคที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วแบบนี้ Data-driven จึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกองค์กรที่อยากอยู่รอดและเติบโตท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือด ใครปรับตัวได้ไวและใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้เต็มที่ ก็จะได้เปรียบและก้าวนำคู่แข่งไปได้ไกลแน่นอน
4 เหตุผลว่าทำไม ธุรกิจควรหันมาใช้ Data Driven
ในยุคที่ข้อมูลคือทรัพย์สินล้ำค่า การนำ Data มาขับเคลื่อนธุรกิจจึงไม่ใช่ตัวเลือกอีกต่อไป แต่เป็นความจำเป็นเร่งด่วนสำหรับทุกองค์กร ที่อยากอยู่รอดและเติบโตอย่างก้าวกระโดด ตั้งแต่การเข้าใจลูกค้าระดับลึก การคาดการณ์เทรนด์ล่วงหน้า การประเมินคู่แข่งรอบด้าน ไปจนถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภายใน ล้วนต้องอาศัยพลังของ Data ในการชี้นำทาง และตัดสินใจอย่างชาญฉลาด เรามาดูกันเลยว่า ทำไม ธุรกิจควรหันมาใช้ Data Driven
1. รู้ใจลูกค้าขึ้นไปอีกขั้น
ในการทำธุรกิจ สิ่งสำคัญอันดับต้นๆ คือการเข้าใจความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าให้มากที่สุด ยิ่งคุณรู้จักลูกค้าดีเท่าไหร่ ก็ยิ่งสามารถตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้ดีขึ้นเท่านั้น และการนำ Data มาใช้นั้นจะช่วยให้คุณเข้าใจลูกค้าในเชิงลึกได้มากกว่าที่เคยเป็นมา
ประการแรก Data จะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของกลุ่มลูกค้า ว่ามีลักษณะอย่างไร มีความสนใจหรือความชอบคล้ายกันในด้านใด มีพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าหรือบริการแบบไหน เช่น ซื้อบ่อยแค่ไหน ซื้อช่วงเวลาไหน มีปัจจัยอะไรบ้างที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ เป็นต้น เมื่อรวบรวมข้อมูลจากลูกค้าจำนวนมากได้แล้ว คุณจะสามารถแบ่งกลุ่มลูกค้า และเข้าใจพฤติกรรมในภาพรวมได้ดียิ่งขึ้น
ต่อมา Data ยังช่วยให้เห็นรายละเอียดเชิงลึกที่แตกต่างของลูกค้าแต่ละคน คุณจะได้เห็นว่าลูกค้าแต่ละรายมีลักษณะเฉพาะตัว มีความชอบ ความสนใจ หรือไลฟ์สไตล์แบบไหน มีเหตุผลอย่างไรในการเลือกใช้สินค้าหรือบริการ และพวกเขาให้ความเห็นหรือรีวิวสินค้าของคุณว่าอย่างไรบ้าง จากข้อมูลระดับบุคคลเหล่านี้ คุณจะสามารถเจาะจงและนำเสนอสิ่งที่ตรงใจลูกค้าได้เฉพาะเจาะจงมากขึ้น สร้างประสบการณ์ที่ดีและเพิ่มความประทับใจให้กับลูกค้าได้
นอกจากนี้ Data ยังช่วยให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าในแต่ละช่วงเวลา เมื่อคุณวิเคราะห์ข้อมูลอย่างต่อเนื่อง จะสามารถสังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างรวดเร็ว ว่ามีเทรนด์หรือความนิยมใหม่ๆ เกิดขึ้นหรือไม่ พฤติกรรมการซื้อของลูกค้าเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างไร ทำให้คุณสามารถปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องได้ทันท่วงที
เมื่อคุณสามารถติดตามพฤติกรรมของลูกค้าได้แบบเรียลไทม์และเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้ว ก็จะสามารถนำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้อย่างเฉพาะเจาะจง ทั้งปรับปรุงสินค้าและบริการ ปรับข้อความการสื่อสารทางการตลาด หรือจะเพิ่มช่องทางที่ลูกค้าสะดวกในการเข้าถึง ก็สามารถตอบโจทย์ได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด ส่งผลให้ลูกค้ารู้สึกพึงพอใจและอยากกลับมาซื้อซ้ำในครั้งต่อๆไป
นี่คือเพียงตัวอย่างบางส่วนของประโยชน์จากการนำ Data มาใช้เพื่อเข้าใจลูกค้า ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มยอดขายแล้ว ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าในระยะยาว ทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนมากขึ้นนั่นเอง
2. ทันทุกกระแสเทรนด์
ในโลกยุคดิจิทัล กระแสความนิยมหรือเทรนด์ใหม่ๆ สามารถเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วเพียงชั่วข้ามคืน สิ่งที่วันนี้กำลังฮิตอยู่ พรุ่งนี้อาจจะเชยไปแล้วก็เป็นได้ ดังนั้น การติดตามเทรนด์ความเคลื่อนไหวของตลาดอยู่เสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเท่าทันการแข่งขันและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งการนำ Data มาวิเคราะห์จะช่วยให้คุณคาดเดาทิศทางของตลาดได้แม่นยำและทันท่วงทีมากขึ้น
การวิเคราะห์ข้อมูลจากพฤติกรรมและความสนใจของผู้บริโภคจำนวนมาก จะช่วยให้เห็นถึงแนวโน้มและความเปลี่ยนแปลงของความต้องการในตลาด ว่าในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมามีความนิยมไปในทิศทางไหน มีปัจจัยอะไรที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงนั้น และมีแนวโน้มว่าจะเป็นกระแสนานแค่ไหน จากข้อมูลเหล่านี้ คุณจะสามารถคาดเดาได้ว่าเทรนด์ต่อไปจะเป็นอย่างไร และเตรียมปรับตัวได้ก่อนที่คู่แข่งจะตามทัน
นอกจากจะดูข้อมูลจากฝั่งลูกค้าแล้ว การวิเคราะห์ข้อมูลจากคู่แข่งก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน การติดตามความเคลื่อนไหวของแบรนด์อื่นๆ ในตลาด ทั้งสินค้า บริการ หรือแคมเปญทางการตลาดต่างๆ จะทำให้เห็นภาพรวมและทิศทางการแข่งขันได้ชัดเจนขึ้น เมื่อคุณรู้ว่าคู่แข่งกำลังวางกลยุทธ์อะไร ก็จะสามารถปรับแผนการตลาดของตัวเองให้แตกต่าง โดดเด่น หรือสร้างจุดขายที่เหนือกว่า เพื่อแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดมาครองได้
ยิ่งถ้าคุณมีข้อมูลมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมองเห็นความเป็นไปได้ของเทรนด์ใหม่ๆ ได้เร็วและแม่นยำมากขึ้นเท่านั้น การนำ Data มาใช้วิเคราะห์จึงเหมือนเป็นเลนส์ที่ช่วยให้คุณมองภาพอนาคตได้ชัดเจนขึ้น ทำให้ปรับกลยุทธ์เชิงรุกได้อย่างรวดเร็ว ลดความเสี่ยงจากการคาดเดาผิดพลาด และสามารถนำเสนอสินค้าและบริการที่ล้ำหน้ากว่าใครในตลาดได้
ดังนั้น ในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วแบบนี้ หากธุรกิจของคุณอยากจะอยู่รอด และเติบโตอย่างมั่นคง การติดอาวุธด้วย Data เพื่อเท่าทันทุกความเคลื่อนไหวของเทรนด์ จึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้อย่างยิ่งในปัจจุบัน
3. รู้เขารู้เรา
ในการทำธุรกิจ การรู้จักคู่แข่งเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กับการรู้จักลูกค้า เพราะในตลาดที่มีการแข่งขันสูงแบบปัจจุบัน หากคุณไม่เข้าใจคู่แข่งให้ดี ก็ยากที่จะวางกลยุทธ์เอาชนะได้ แต่การที่จะเข้าใจคู่แข่งนั้น นอกจากแค่การสำรวจสินค้าหรือบริการของเขาเองแล้ว การนำ Data มาใช้วิเคราะห์จะทำให้คุณเห็นภาพที่ลึกและกว้างมากยิ่งขึ้น
การวิเคราะห์ Data บนโลกออนไลน์ จะทำให้คุณเห็นภาพรวมในมุมมองของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์คู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นการรีวิวสินค้า คอมเมนต์ในโซเชียลมีเดีย หรือการพูดถึงแบรนด์ในเชิงบวกและลบ จากข้อมูลเหล่านี้ คุณจะได้เห็นจุดแข็ง จุดอ่อน ของคู่แข่งในสายตาของผู้บริโภค ทั้งในแง่คุณภาพสินค้า การบริการ ภาพลักษณ์ หรือความนิยม ซึ่งจะช่วยให้คุณมองเห็นโอกาสและจุดที่คุณสามารถเติมเต็มสิ่งที่คู่แข่งยังขาดได้
นอกเหนือไปจากการวิเคราะห์ข้อมูลภายนอกแล้ว คุณยังสามารถนำ Data ภายในองค์กรของคุณเอง มาเปรียบเทียบกับของคู่แข่งได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลยอดขาย ส่วนแบ่งการตลาด จำนวนลูกค้า ความถี่และมูลค่าในการซื้อ คะแนนความพึงพอใจ ฯลฯ เมื่อนำตัวเลขเหล่านี้ของตัวเองและคู่แข่งมาเทียบกัน คุณก็จะรู้ว่า ตอนนี้ธุรกิจของคุณอยู่ตรงจุดไหนของการแข่งขัน มีข้อได้เปรียบหรือเสียเปรียบอย่างไร และควรจะวางกลยุทธ์ถัดไปอย่างไรเพื่อให้สามารถแซงหน้าคู่แข่งได้
การมี Data เหล่านี้เหมือนเป็นการเติมอาวุธชิ้นสำคัญในสงครามทางธุรกิจ เพราะไม่เพียงแค่ทำให้คุณรู้และเข้าใจคู่แข่งมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นตัวเองในมุมที่อาจจะมองข้ามไป ว่าจุดไหนที่เรายังด้อยกว่าคู่แข่ง จุดไหนที่เราสามารถสร้างความแตกต่างได้ เมื่อคุณรู้ศักยภาพและสถานะของตัวเองอย่างชัดเจน ก็จะสามารถนำจุดแข็งของตัวเองมาต่อยอด และพัฒนาจุดอ่อนให้แกร่งขึ้นได้
ในสมรภูมิการค้า หากคุณสามารถประเมินคู่แข่งได้อย่างถ่องแท้ ก็เท่ากับว่าคุณได้เปรียบไปแล้วครึ่งหนึ่ง และด้วยพลังของ Data ที่จะช่วยเสริมให้คุณ “รู้เขา รู้เรา” ได้อย่างลึกซึ้งและรอบด้าน การปรับกลยุทธ์เพื่อเอาชนะคู่แข่งจึงเป็นเรื่องที่ง่ายและแม่นยำมากขึ้น นำไปสู่ความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ยั่งยืนในระยะยาวนั่นเอง
4. เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
ไม่ใช่แค่ในมุมของการตลาดเท่านั้นที่ Data มีบทบาทสำคัญ ในกระบวนการทำงานภายในขององค์กรเอง ก็สามารถนำ Data มาใช้เพื่อพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้เช่นกัน ยิ่งในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในทุกกระบวนการทำงานแบบนี้ การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากเทคโนโลยีเหล่านั้นก็ยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นไปด้วย
การนำ Data มาใช้ในกระบวนการผลิต จะช่วยให้คุณสามารถติดตามและควบคุมคุณภาพได้อย่างใกล้ชิดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจากเครื่องจักร หุ่นยนต์ หรือระบบอัตโนมัติต่างๆ ในสายการผลิต เมื่อนำมาวิเคราะห์คุณจะเห็นถึงประสิทธิภาพการทำงานในแต่ละขั้นตอน ปัญหาหรือข้อผิดพลาดที่มักเกิดขึ้น รวมถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพและปริมาณการผลิต ทำให้คุณสามารถแก้ไขและปรับปรุงกระบวนการเหล่านั้นได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น
ในด้านการบริหารสินค้าคงคลัง การวิเคราะห์ข้อมูลสต็อกสินค้า ประวัติการสั่งซื้อและเบิกใช้ รวมถึงระยะเวลาในการหมุนเวียน จะช่วยให้คุณสามารถคาดการณ์ปริมาณความต้องการสินค้าในอนาคตได้แม่นยำขึ้น ทำให้วางแผนการสั่งซื้อและจัดเก็บได้อย่างเหมาะสม ไม่เกินหรือขาดแคลน ช่วยลดต้นทุนในการจัดเก็บและลดความเสี่ยงจากสินค้าหมดอายุ นอกจากนี้ยังช่วยให้มองเห็นสินค้าที่ไม่เคลื่อนไหวหรือขายได้ช้า เพื่อหาวิธีระบายสต็อกได้ทันท่วงที
ในส่วนของการบริการหลังการขาย การวิเคราะห์ข้อมูลปัญหาที่ลูกค้ามักจะโทรเข้ามาสอบถาม ระยะเวลาเฉลี่ยในการแก้ปัญหา หรือคะแนนความพึงพอใจในบริการ จะช่วยให้คุณเห็นโอกาสในการปรับปรุงคุณภาพการให้บริการ พัฒนาบุคลากร หรือจัดทำคู่มือแก้ปัญหาให้พนักงาน เพื่อตอบคำถามได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ การนำ Data มาใช้ยังช่วยให้การสื่อสารภายในองค์กรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วย ทั้งการใช้ระบบ ERP หรือซอฟต์แวร์บริหารทรัพยากรองค์กร ในการจัดการและเชื่อมโยงข้อมูลในทุกหน่วยงานเข้าด้วยกัน ทำให้แต่ละฝ่ายเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากข้อมูลไปในทิศทางเดียวกันได้ง่าย ช่วยให้การทำงานข้ามสายงานราบรื่นและรวดเร็ว ลดความผิดพลาดและความซ้ำซ้อน อีกทั้งผู้บริหารเองก็สามารถติดตามความคืบหน้าและผลการดำเนินงานของแต่ละส่วนงานได้แบบเรียลไทม์อีกด้วย
จากที่กล่าวมาจะเห็นว่า Data มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในแทบทุกมิติขององค์กร ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ซึ่งเมื่อทุกกระบวนการมีประสิทธิภาพและประสานเชื่อมโยงกันได้ดีแล้ว นอกจากจะช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้นแล้ว ยังช่วยสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาวอีกด้วย
ดังนั้น หากคุณอยากเห็นธุรกิจของคุณเติบโตแบบก้าวกระโดด การลงทุนกับการนำ Data มาปรับใช้ในการทำงาน จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าอย่างแน่นอน และยิ่งเริ่มต้นได้เร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้เปรียบและสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งได้มากขึ้นเท่านั้น
สรุปท้ายบทความ 4 เหตุผลว่าทำไม ธุรกิจควรหันมาใช้ Data Driven
ในโลกแห่งการแข่งขันทางธุรกิจยุคดิจิทัล (Digital Business) ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว องค์กรที่ต้องการความได้เปรียบทางการแข่งขัน (Competitive Advantage) จำเป็นต้องปรับตัวสู่การเป็นธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล หรือ Data-Driven
ตั้งแต่การใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ในการทำความเข้าใจลูกค้าเชิงลึก การนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์เทรนด์ล่วงหน้า การวัดผลเทียบกับคู่แข่งแบบรอบด้าน ไปจนถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในทุกส่วนขององค์กร ล้วนต้องอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) และการตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูล (Data Driven Decision Making) ทั้งสิ้น
ดังนั้น การปรับตัวสู่การเป็นองค์กรดิจิทัล (Digital Transformation) ที่มีวัฒนธรรมของการใช้ประโยชน์จากข้อมูล (Data-Driven Culture) จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำพาธุรกิจของคุณให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดในยุคนี้
ยิ่งเริ่มปรับใช้กลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Strategy) ตั้งแต่การตลาด (Data-Driven Marketing) ไปจนถึงการบริหารประสบการณ์ลูกค้า (Data-Driven Customer Experience) ให้เร็วเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสร้างความได้เปรียบให้กับองค์กรของคุณได้มากขึ้นเท่านั้น
โอกาสในการเปิดมุมมองใหม่กับ PartTimeTH จะพาคุณสำรวจอาชีพเสริมและแนะนำข้อมูลสำหรับผู้ประกอบการ ที่หลายคนอาจมองข้ามแล้วพบกันในบทความถัดไป ติดตามประกาศรับสมัครงานเพิ่มเติมได้ที่ Facebook หางาน Part Time งานพิเศษ ทำที่บ้าน เสาร์ อาทิตย์