Generation Gap คืออะไร ?
Generation Gap คือความแตกต่างระหว่างคนรุ่นต่าง ๆ ซึ่งเกิดจากปัจจัยหลายประการ เช่น วัฒนธรรม ประสบการณ์ทางชีวิต และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเทคโนโลยี เมื่อคนจากรุ่นต่าง ๆ มาทำงานร่วมกันหรือใช้ชีวิตร่วมกัน ความแตกต่างเหล่านี้สามารถนำไปสู่ความไม่เข้าใจกัน ความขัดแย้ง และการสื่อสารที่ไม่ตรงกันได้
โดยทั่วไป Generation Gap มักถูกแบ่งออกเป็นรุ่นต่าง ๆ ดังนี้
- Baby Boomers (เกิดระหว่างปี 1946-1964) – คนในรุ่นนี้มักมีประสบการณ์ชีวิตที่ยาวนาน มีความมั่นคงทางการงาน และมีทัศนคติที่เข้มแข็งในเรื่องการทำงานหนัก
- Generation X (เกิดระหว่างปี 1965-1980) – คนในรุ่นนี้มักเป็นคนที่มีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้ดี เนื่องจากเติบโตมาในช่วงการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและสังคม
- Generation Y (Millennials) (เกิดระหว่างปี 1981-1996) – คนในรุ่นนี้มักเติบโตมากับเทคโนโลยี มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ และมีทัศนคติที่แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้าในเรื่องการทำงานและการใช้ชีวิต
- Generation Z (เกิดหลังปี 1997) – คนในรุ่นนี้เติบโตมากับอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีดิจิทัล มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสูง และมีทัศนคติที่เปิดกว้างและทันสมัย
ความแตกต่างในเรื่องเหล่านี้สามารถทำให้เกิด Generation Gap ซึ่งอาจนำไปสู่ความท้าทายในการทำงานร่วมกันและการสื่อสารระหว่างคนรุ่นต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม หากมีการสร้างความเข้าใจและการรับมือที่ดี ปัญหา Generation Gap สามารถกลายเป็นโอกาสในการสร้างความร่วมมือและการทำงานที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นได้
ปัญหาที่อาจเกิดจาก Generation Gap
ปัญหาที่อาจเกิดจาก Generation Gap มีหลายประการ ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อการทำงานร่วมกันในองค์กรหรือการใช้ชีวิตร่วมกันในสังคมได้ ดังนี้
- ความไม่เข้าใจกัน – เนื่องจากแต่ละรุ่นมีทัศนคติ ความคิด และค่านิยมที่แตกต่างกัน การไม่เข้าใจกันสามารถนำไปสู่ความขัดแย้งและการไม่เห็นด้วยในการทำงานหรือการตัดสินใจต่าง ๆ
- การสื่อสารที่ไม่ตรงกัน – การใช้ภาษาหรือวิธีการสื่อสารที่แตกต่างกันสามารถทำให้เกิดความสับสนและความเข้าใจผิดระหว่างคนในรุ่นต่าง ๆ
- วิธีการทำงานที่แตกต่างกัน – คนแต่ละรุ่นมีวิธีการทำงานและการจัดการเวลาที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่สอดคล้องในการทำงานร่วมกัน
- ความตึงเครียดระหว่างคนรุ่นต่าง ๆ – ความไม่เข้าใจกันและการสื่อสารที่ไม่ตรงกันสามารถนำไปสู่ความตึงเครียดและความไม่สบายใจในการทำงานร่วมกัน
- การปรับตัวต่อเทคโนโลยี – รุ่นที่เติบโตมากับเทคโนโลยีอาจมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีมากกว่ารุ่นที่ไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่เข้าใจกันและการไม่เห็นด้วยในการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงาน
- ทัศนคติที่แตกต่างในเรื่องการทำงาน – แต่ละรุ่นมีมุมมองและค่านิยมที่แตกต่างกันในเรื่องการทำงาน เช่น การมองความสำคัญของความมั่นคงในงาน การทำงานหนัก หรือการมุ่งเน้นที่การพัฒนาตนเอง
- การบริหารจัดการที่ไม่สอดคล้อง – การบริหารจัดการคนในแต่ละรุ่นอาจต้องใช้วิธีการที่แตกต่างกัน หากไม่มีการปรับตัวในการบริหารจัดการ อาจทำให้เกิดความไม่พอใจและการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ
การเข้าใจและรับมือกับปัญหาที่เกิดจาก Generation Gap เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดีและมีประสิทธิภาพในองค์กร รวมถึงการสร้างความเข้าใจและการทำงานร่วมกันอย่างมีความสุขในสังคม
7 วิธีรับมือกับ Generation Gap
1. เข้าใจและยอมรับในความต่าง
สิ่งแรกที่ควรทำเมื่อต้องทำงานร่วมกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นผู้ร่วมงานวัยเดียวกันหรือต่างวัยก็คือ การทำความเข้าใจและยอมรับในความแตกต่างของแต่ละคนให้ได้เสียก่อนนั่นเอง โดยอาจเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจและยอมรับว่า แต่ละ Generation แต่ละช่วงวัยนั้น มีความคิด ความเชื่อ และทัศนคติที่แตกต่างกันอย่างไร และไม่ตัดสินหรือแบ่งแยกผู้อื่น เพียงเพราะมีความเห็นหรือแนวคิดที่ต่างกัน
2. สื่อสารกันอย่างมีประสิทธิภาพ
เนื่องจากปัญหาเรื่องการสื่อสารนั้นเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่พบได้บ่อยจากความต่างระหว่างวัย ดังนั้น การสื่อสารที่ดี ชัดเจน และมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญในการลดช่องว่างระหว่างวัยได้ โดยควรพยายามสื่อสารกันอย่างชัดเจน และเช็กให้มั่นใจว่าทุกคนมีความเข้าใจตรงกัน และเมื่อต้องประสานงานกันควรหลีกเลี่ยงการใช้ภาษาที่ไม่เป็นทางการหรือภาษาที่ฟังดูก้าวร้าว เพราะอาจนำไปสู่การเข้าใจผิดพลาดหรือเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกันได้
3. สร้างบรรยากาศในการทำงานที่ดี
เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีความสุข การคอยสร้างบรรยากาศในการทำงานที่ดีเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้พนักงานแต่ละ Generation รู้สึกผ่อนคลาย และเปิดใจรับฟังซึ่งกันและกันมากขึ้น โดยอาจเริ่มต้นได้ง่าย ๆ ด้วยการกล่าวทักทายกัน ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ หรือการเสนอความช่วยเหลือเมื่อทำได้
4. เรียนรู้จากกันและกัน
อีกหนึ่งวิธีรับมือกับ Generation Gap ที่สามารถทำได้ก็คือ การสร้างโอกาสเรียนรู้จากความแตกต่างนั่นเอง โดยแทนที่จะถกเถียงหรือทะเลาะกันเมื่อเกิดความเห็นไม่ตรงกัน เราสามารถที่จะรับฟังแนวคิดของแต่ละฝ่ายเพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นได้ หรืออาจเสนอไอเดียต่อยอด เพื่อช่วยกันสร้างข้อตกลงที่ดีที่สุด ซึ่งเมื่อทำได้อย่างนี้แล้ว คุณอาจจะได้เรียนรู้เทคนิคดี ๆ ที่ตัวเองคิดไม่ถึงเนื่องจากขาดประสบการณ์ หรือแนวคิดบางอย่างก็ได้
5. ช่วยเหลือกันในเรื่องที่ทำได้
การช่วยเหลือกันในเรื่องที่ทำได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน หรือเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ บางอย่าง จะช่วยให้พนักงานแต่ละช่วงวัยรู้สึกถึงการมีส่วนร่วม และการเป็นส่วนหนึ่งของทีม และทำให้เกิดความเข้าใจกัน และสนิทสนมกันมากขึ้นด้วย
6. รู้จักปรับตัวเข้ากับผู้อื่น
นอกจากการทำความเข้าใจแล้ว การปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่นก็สำคัญไม่แพ้กันในการรับมือกับความต่างของวัย โดยคนทุกช่วงวัยควรปรับตัวเข้ากับคนอื่น ๆ ในทีมมากขึ้น เพื่อให้การทำงานร่วมกันเป็นไปอย่างราบรื่น และเป็นมืออาชีพมากที่สุด
7. ปล่อยวางเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
แน่นอนว่าการคิดไม่ตรงกันนั้นเกิดขึ้นได้กับทุกคน ซึ่งหากเราทำให้ทุกความเห็นที่ไม่ตรงกันกลายเป็นเรื่องใหญ่ ก็จะทำให้เสียบรรยากาศในการทำงาน และอาจทำให้ไม่สามารถทำงานให้ลุล่วงได้ แต่หากรู้จักการปล่อยวางในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่สำคัญ และมุ่งเน้นไปที่การทำงานร่วมกันเป็นหลัก ก็จะช่วยลดปัญหาในการทำงานได้