สาเหตุของการลาออก เกิดจากอะไรได้บ้าง ?
1. ลาออกเพราะมีปัญหากับหัวหน้างาน
การลาออกเพราะมีปัญหากับหัวหน้างานเป็นสาเหตุที่พบบ่อยและมีผลกระทบอย่างมากต่อองค์กร ความขัดแย้งนี้อาจเกิดขึ้นได้ทั้งจากเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว ซึ่งสามารถทำให้พนักงานรู้สึกไม่สามารถร่วมงานกันต่อไปได้ จึงต้องตัดสินใจลาออก สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ควรระมัดระวังและให้ความสำคัญในการดำเนินการ Exit Interview เพื่อเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ปัญหาอย่างละเอียด
ปัญหาที่มักพบกับหัวหน้างาน
1. การสื่อสารที่ไม่ดี
การขาดการสื่อสารที่ชัดเจนหรือการสื่อสารที่ไม่เหมาะสมจากหัวหน้างานสามารถทำให้เกิดความเข้าใจผิดและความไม่พอใจ
2. การบริหารจัดการที่ไม่เป็นธรรม
หากพนักงานรู้สึกว่าหัวหน้างานไม่บริหารจัดการอย่างเป็นธรรม เช่น การให้โอกาสหรือการประเมินผลงานที่ไม่ยุติธรรม ก็อาจทำให้พนักงานรู้สึกไม่พอใจ
3. การขาดการสนับสนุน
หัวหน้างานที่ไม่ให้การสนับสนุนหรือไม่ชี้แนะแนวทางในการทำงาน ทำให้พนักงานรู้สึกโดดเดี่ยวและขาดแรงจูงใจในการทำงาน
4. ความขัดแย้งทางบุคลิกภาพ
ความแตกต่างทางบุคลิกภาพหรือค่านิยมระหว่างพนักงานและหัวหน้างานสามารถทำให้เกิดความขัดแย้งและความไม่ลงรอย
การทำ Exit Interview อย่างมีประสิทธิภาพ
1. สร้างบรรยากาศที่เป็นมิตร
การทำ Exit Interview ควรสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรและเปิดใจ เพื่อให้พนักงานรู้สึกสบายใจในการพูดคุยและแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา
2. การตั้งคำถามที่เปิดกว้าง
ตั้งคำถามที่เปิดกว้างและไม่ชี้นำ เพื่อให้พนักงานสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ เช่น “คุณมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับการทำงานร่วมกับหัวหน้างานของคุณ?”
3. การฟังอย่างตั้งใจ
ฟังความคิดเห็นของพนักงานอย่างตั้งใจและไม่ขัดจังหวะ เพื่อให้พนักงานรู้สึกว่าความคิดเห็นของเขาถูกรับฟังและมีความสำคัญ
4. การตรวจสอบข้อมูล
หลังจากการสัมภาษณ์ ควรตรวจสอบข้อมูลที่ได้รับจากหลายๆ แหล่ง เพื่อให้ได้ภาพรวมที่ชัดเจนและไม่ยึดติดกับความเห็นของพนักงานคนเดียว
5. การวิเคราะห์และดำเนินการแก้ไข
วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับอย่างเป็นระบบและดำเนินการแก้ไขปัญหาที่พบ เช่น การฝึกอบรมหัวหน้างานในด้านการสื่อสารหรือการบริหารจัดการ
การจัดการกับปัญหาความขัดแย้งระหว่างพนักงานและหัวหน้างานไม่เพียงแต่ช่วยลดการลาออกของพนักงาน แต่ยังช่วยสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี และส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงานในองค์กรด้วย
2. ต้องการไปทำธุรกิจของตัวเอง
พนักงานที่ลาออกเพราะต้องการไปเป็นเจ้าของธุรกิจของตัวเองเป็นกลุ่มที่มีเป้าหมายชัดเจนและมีความตั้งใจในการดำเนินชีวิตอย่างชัดเจน การจัดการกับพนักงานกลุ่มนี้ต้องมีความเข้าใจและยอมรับในเป้าหมายของพวกเขา การสนับสนุนและสร้างบรรยากาศที่เป็นบวกในการทำงานเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อให้พวกเขามีความสุขและมีประสบการณ์ที่ดีในองค์กรระหว่างที่ยังทำงานอยู่
การจัดการกับพนักงานที่ต้องการลาออกไปทำธุรกิจของตัวเอง
1. ยอมรับและสนับสนุน
การยอมรับในเป้าหมายของพนักงานและสนับสนุนพวกเขาในการพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำธุรกิจของตนเอง จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและเพิ่มความผูกพันในช่วงเวลาที่พวกเขายังอยู่ในองค์กร
2. สร้างโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนา
การให้โอกาสพนักงานในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการธุรกิจ เช่น การจัดการทางการเงิน การตลาด หรือการบริหารทรัพยากรมนุษย์ จะช่วยให้พวกเขาเตรียมตัวได้ดีขึ้นสำหรับการเป็นเจ้าของธุรกิจในอนาคต
3. สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมความเป็นผู้ประกอบการ
การสร้างวัฒนธรรมที่สนับสนุนการคิดอย่างผู้ประกอบการ เช่น การสนับสนุนให้พนักงานมีความคิดสร้างสรรค์และกล้าเสี่ยง จะช่วยเพิ่มความผูกพันและสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงาน
4. การสนับสนุนในช่วงการเปลี่ยนผ่าน
เมื่อพนักงานตัดสินใจลาออกเพื่อไปทำธุรกิจของตัวเอง การให้การสนับสนุนในช่วงการเปลี่ยนผ่าน เช่น การให้คำปรึกษา การช่วยเหลือในการเตรียมตัว หรือการเชื่อมโยงกับเครือข่ายธุรกิจ จะช่วยให้พวกเขามีความมั่นใจและพร้อมมากขึ้น
การวิเคราะห์ข้อมูลและการจัดการทรัพยากรมนุษย์
1. การทำ Exit Interview
การทำ Exit Interview กับพนักงานกลุ่มนี้เป็นโอกาสที่จะได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประสบการณ์ที่พวกเขาได้รับในองค์กรและความรู้สึกที่มีต่อองค์กร ข้อมูลนี้สามารถนำมาใช้ในการปรับปรุงสภาพแวดล้อมการทำงานและการจัดการทรัพยากรมนุษย์
2. การวิเคราะห์แนวโน้มและปรับปรุงนโยบาย
การวิเคราะห์ข้อมูลจาก Exit Interview และการติดตามแนวโน้มการลาออกของพนักงาน จะช่วยให้ HR และผู้บริหารสามารถปรับปรุงนโยบายและกลยุทธ์ในการรักษาพนักงานที่มีศักยภาพสูงได้ดียิ่งขึ้น
3. การสร้างเส้นทางการเติบโตในองค์กร
การเสนอเส้นทางการเติบโตในองค์กรที่ชัดเจนและท้าทาย สามารถช่วยดึงดูดและรักษาพนักงานที่มีศักยภาพสูงไว้ได้ นอกจากนี้ยังสามารถเสนอโปรแกรมการพัฒนาทักษะที่หลากหลาย เพื่อให้พนักงานได้เตรียมตัวสำหรับบทบาทที่สูงขึ้นในองค์กร
การจัดการกับพนักงานที่ต้องการลาออกไปทำธุรกิจของตัวเองจำเป็นต้องมีความเข้าใจและการสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อให้พวกเขามีความรู้สึกที่ดีต่อองค์กร และนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับไปใช้ในการสร้างธุรกิจของตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ
3. เบื่อหน่ายกับงานที่ไม่มีโอกาสเติบโต
พนักงานที่รู้สึกเบื่อหน่ายกับงานที่ซ้ำซากและมองไม่เห็นโอกาสในการเติบโตเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพสูงและมีความทะเยอทะยานในการก้าวหน้า การจัดการกับพนักงานกลุ่มนี้จำเป็นต้องมีความเข้าใจและการวางแผนที่ดี เพื่อรักษาพนักงานที่มีค่าเหล่านี้ไว้ในองค์กร
การจัดการกับพนักงานที่เบื่อหน่ายกับงานซ้ำซากและต้องการความท้าทาย
1. การให้โอกาสในการพัฒนาและก้าวหน้า
- สร้างเส้นทางการเติบโตในองค์กรที่ชัดเจนและท้าทาย เพื่อให้พนักงานเห็นภาพรวมและรู้ว่าตนเองสามารถก้าวหน้าได้ในอนาคต
- จัดทำโปรแกรมการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พนักงานได้รับการพัฒนาและสามารถนำทักษะใหม่ๆ มาใช้ในงาน
2. การมอบหมายงานที่ท้าทายและหลากหลาย
- มอบหมายงานที่มีความท้าทายและโอกาสในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อให้พนักงานมีความรู้สึกว่าตนเองมีความสำคัญและมีโอกาสในการพัฒนา
- การจัดโปรเจคหรือภารกิจพิเศษที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์และการแก้ไขปัญหา จะช่วยให้พนักงานได้ใช้ความสามารถอย่างเต็มที่
3. การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ส่งเสริมการเรียนรู้
- สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมการเรียนรู้และการพัฒนา เช่น การแลกเปลี่ยนความรู้ภายในทีม การจัดเวิร์คช็อป และการสนับสนุนให้พนักงานเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ
- สนับสนุนการใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อให้พนักงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและน่าสนใจมากขึ้น
4. การยอมรับและชื่นชมผลงาน
การยอมรับและชื่นชมผลงานของพนักงานเป็นสิ่งที่สำคัญในการสร้างแรงจูงใจ ให้รางวัลหรือการยกย่องเมื่อพนักงานทำผลงานได้ดี จะช่วยให้พนักงานรู้สึกมีคุณค่าและมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตนเองต่อไป
การรักษาพนักงานกลุ่มนี้ในระยะยาว
1. การประเมินและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
การประเมินผลการทำงานและการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้เห็นถึงความก้าวหน้าและพื้นที่ที่ยังต้องการการปรับปรุง การปรับปรุงโปรแกรมและโอกาสต่างๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการของพนักงานจะช่วยให้พนักงานรู้สึกว่าตนเองได้รับการสนับสนุนอย่างแท้จริง
2. การสร้างเส้นทางการเติบโตที่หลากหลาย
การสร้างเส้นทางการเติบโตที่หลากหลายไม่จำกัดเฉพาะเส้นทางเดียว จะช่วยให้พนักงานมีทางเลือกในการพัฒนาและสามารถเลือกเส้นทางที่เหมาะสมกับตนเอง
3. การส่งเสริมความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน
การสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อให้พนักงานรู้สึกว่าตนเองมีเวลาสำหรับการพัฒนาและพักผ่อน การสนับสนุนให้พนักงานมีเวลาสำหรับการพักผ่อนและกิจกรรมส่วนตัวจะช่วยให้พนักงานมีแรงจูงใจในการทำงานมากขึ้น
การจัดการกับพนักงานที่ต้องการความท้าทายและมองหาโอกาสในการเติบโตในองค์กรต้องมีความยืดหยุ่นและการสนับสนุนที่เหมาะสม การสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้พนักงานรู้สึกมีคุณค่าและมีแรงจูงใจในการทำงานมากขึ้น
4. รายได้ไม่เพียงพอ
การลาออกของพนักงานเนื่องจากรายได้ไม่พอค่าใช้จ่ายเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยและส่งผลกระทบต่อองค์กรในหลายด้าน การจัดการกับปัญหานี้เป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อรักษาพนักงานที่มีศักยภาพและลดอัตราการลาออกของพนักงาน
การจัดการกับพนักงานที่ลาออกเพราะรายได้ไม่พอค่าใช้จ่าย
1. การปรับปรุงระบบค่าตอบแทนและสวัสดิการ
- พิจารณาปรับค่าตอบแทนให้สอดคล้องกับค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นและการแข่งขันในตลาดแรงงาน การปรับเงินเดือนและโบนัสที่เป็นธรรมจะช่วยลดความต้องการในการย้ายงานเพื่อเพิ่มรายได้
- เสนอแพ็คเกจสวัสดิการที่ครอบคลุมและคุ้มค่า เช่น ประกันสุขภาพ ประกันชีวิต การพักผ่อนประจำปี และสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของพนักงาน
2. การประเมินและปรับค่าตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ
- จัดทำการประเมินค่าตอบแทนและสวัสดิการของพนักงานอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้แน่ใจว่าพนักงานได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรมและสอดคล้องกับผลงานและความสามารถ
- การจัดทำการประเมินผลการทำงานและการปรับเงินเดือนอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม จะช่วยให้พนักงานรู้สึกว่าได้รับการยอมรับและเห็นคุณค่าในผลงานของตน
3. การสร้างโอกาสในการพัฒนาและเติบโต
- สร้างโอกาสในการพัฒนาและเติบโตภายในองค์กร เช่น การฝึกอบรม การพัฒนาทักษะ และการให้โอกาสในการรับผิดชอบงานที่ท้าทายและมีความสำคัญ
- การสร้างเส้นทางการเติบโตที่ชัดเจนและมีโอกาสในการเลื่อนตำแหน่ง จะช่วยให้พนักงานรู้สึกว่ามีอนาคตและมีโอกาสในการเพิ่มรายได้ในระยะยาว
4. การสื่อสารและการเปิดช่องทางในการแสดงความคิดเห็น
- การสื่อสารกับพนักงานอย่างเปิดเผยและโปร่งใสเกี่ยวกับสถานะการเงินขององค์กรและนโยบายค่าตอบแทนจะช่วยให้พนักงานเข้าใจสถานการณ์และมีความไว้วางใจในองค์กร
- การเปิดช่องทางให้พนักงานสามารถแสดงความคิดเห็นหรือแสดงความกังวลเกี่ยวกับค่าตอบแทนและสวัสดิการ จะช่วยให้องค์กรสามารถรับรู้และแก้ไขปัญหาได้ทันที
5. การให้คำปรึกษาและการช่วยเหลือทางการเงิน
- การให้คำปรึกษาและการช่วยเหลือทางการเงิน เช่น การจัดสัมมนาเกี่ยวกับการจัดการการเงินส่วนบุคคล การให้คำแนะนำในการวางแผนการเงิน จะช่วยให้พนักงานมีความสามารถในการจัดการเงินได้ดีขึ้น
- การเสนอสินเชื่อพิเศษหรือการช่วยเหลือทางการเงินในกรณีฉุกเฉิน จะช่วยลดความกังวลของพนักงานและเพิ่มความผูกพันต่อองค์กร
การวิเคราะห์และการติดตามผล
1. การวิเคราะห์ข้อมูลการลาออก
- การวิเคราะห์ข้อมูลการลาออกเพื่อระบุแนวโน้มและสาเหตุที่แท้จริง จะช่วยให้องค์กรสามารถพัฒนานโยบายและกลยุทธ์ในการรักษาพนักงานได้ดีขึ้น
- การทำ Exit Interview กับพนักงานที่ลาออกเพราะรายได้ไม่พอ จะช่วยให้ได้รับข้อมูลเชิงลึกและสามารถนำมาปรับปรุงระบบค่าตอบแทนและสวัสดิการได้
2. การติดตามผลการปรับปรุงค่าตอบแทนและสวัสดิการ
- การติดตามผลการปรับปรุงค่าตอบแทนและสวัสดิการเพื่อดูว่ามีผลต่อการรักษาพนักงานและลดอัตราการลาออกหรือไม่
- การทำสำรวจความพึงพอใจของพนักงานเป็นประจำจะช่วยให้องค์กรสามารถปรับปรุงและพัฒนานโยบายให้สอดคล้องกับความต้องการของพนักงาน
การจัดการกับพนักงานที่ลาออกเพราะรายได้ไม่พอค่าใช้จ่ายจำเป็นต้องมีความเข้าใจและการสนับสนุนที่เหมาะสม การปรับปรุงระบบค่าตอบแทนและสวัสดิการให้สอดคล้องกับความต้องการของพนักงานและการสร้างโอกาสในการพัฒนาและเติบโตจะช่วยลดอัตราการลาออกและรักษาพนักงานที่มีศักยภาพไว้ในองค์กร
5. หงุดหงิดกับที่ทำงาน
การจัดการกับพนักงานที่มีอารมณ์ชั่ววูบหรือหงุดหงิดกับที่ทำงานเป็นความท้าทายที่ HR ต้องเผชิญ การเข้าใจและสนับสนุนพนักงานกลุ่มนี้เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้พวกเขาสามารถปรับปรุงการทำงานและมีความเสถียรทางอารมณ์มากขึ้น
การจัดการกับพนักงานที่ลาออกเพราะอารมณ์ชั่ววูบหรือหงุดหงิด
1. การให้คำปรึกษาและการสนับสนุนทางจิตใจ
- จัดให้มีที่ปรึกษาทางจิตวิทยาหรือผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการอารมณ์ที่พนักงานสามารถเข้าถึงได้ เพื่อให้คำแนะนำและช่วยเหลือในการจัดการกับอารมณ์และความเครียด
- การให้คำปรึกษาเป็นรายบุคคลหรือกลุ่มจะช่วยให้พนักงานสามารถแบ่งปันปัญหาและได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมงานหรือผู้เชี่ยวชาญ
2. การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นมิตร
- สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นมิตรและสนับสนุน เพื่อให้พนักงานรู้สึกว่ามีพื้นที่ในการแสดงออกและสามารถพูดคุยปัญหาต่างๆ ได้อย่างอิสระ
- การส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมความร่วมมือและการสนับสนุนระหว่างพนักงาน จะช่วยลดความตึงเครียดและเพิ่มความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีม
3. การให้การฝึกอบรมเรื่องการจัดการอารมณ์
- จัดโปรแกรมฝึกอบรมเกี่ยวกับการจัดการอารมณ์และการควบคุมความเครียด เพื่อช่วยให้พนักงานมีเครื่องมือในการจัดการกับสถานการณ์ที่ทำให้หงุดหงิดหรือเครียด
- การฝึกอบรมเรื่องการสื่อสารและการแก้ไขปัญหาจะช่วยให้พนักงานมีทักษะในการจัดการกับความขัดแย้งและสถานการณ์ที่ทำให้เครียดได้ดีขึ้น
4. การมีโปรแกรมสนับสนุนพนักงาน (Employee Assistance Program, EAP)
- จัดตั้งโปรแกรมสนับสนุนพนักงานเพื่อให้คำปรึกษาและความช่วยเหลือในด้านต่างๆ ทั้งทางการงานและส่วนตัว เพื่อช่วยลดความกังวลและความเครียด
- โปรแกรม EAP สามารถให้การช่วยเหลือในด้านการเงิน ครอบครัว หรือการจัดการชีวิตส่วนตัว ซึ่งมีผลโดยตรงต่อความเสถียรทางอารมณ์ของพนักงาน
5. การส่งเสริมการใช้เวลาว่างอย่างมีประสิทธิภาพ
- ส่งเสริมให้พนักงานใช้เวลาว่างในการทำกิจกรรมที่ช่วยลดความเครียดและเพิ่มความสุข เช่น การออกกำลังกาย การทำงานศิลปะ หรือการทำกิจกรรมที่ตนเองชื่นชอบ
- จัดกิจกรรมสันทนาการหรือโปรแกรมสุขภาพภายในองค์กร เพื่อให้พนักงานมีโอกาสผ่อนคลายและเสริมสร้างสุขภาพจิต
การติดตามและประเมินผล
1. การประเมินสภาวะอารมณ์และการทำงาน
- ทำการประเมินสภาวะอารมณ์และการทำงานของพนักงานเป็นระยะ เพื่อให้ทราบถึงความเปลี่ยนแปลงและผลกระทบจากการสนับสนุนที่ได้รับ
- การติดตามผลจากการฝึกอบรมและการให้คำปรึกษาจะช่วยให้ HR สามารถปรับปรุงโปรแกรมต่างๆ ให้เหมาะสมกับความต้องการของพนักงาน
2. การสร้างช่องทางสื่อสารที่เปิดกว้าง
- สร้างช่องทางสื่อสารที่เปิดกว้างและไม่เป็นทางการเพื่อให้พนักงานสามารถแสดงความคิดเห็นและแบ่งปันปัญหาได้อย่างอิสระ
- การฟังความคิดเห็นของพนักงานและการตอบสนองอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเครียดและความกังวลของพนักงาน
การป้องกันปัญหาลาออกจากอารมณ์ชั่ววูบในอนาคต
1. การพัฒนาโปรแกรมการดูแลสุขภาพจิตอย่างยั่งยืน
- พัฒนาโปรแกรมการดูแลสุขภาพจิตอย่างยั่งยืน เพื่อให้พนักงานมีการสนับสนุนทางจิตใจอย่างต่อเนื่องและสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ท้าทายได้ดียิ่งขึ้น
- การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีจะช่วยให้พนักงานมีความพึงพอใจในการทำงานและลดความเสี่ยงในการลาออก
2. การส่งเสริมการพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงาน
- ส่งเสริมการพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงาน เช่น การจัดการอารมณ์ การแก้ไขปัญหา และการสื่อสาร เพื่อให้พนักงานมีความมั่นใจและสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ท้าทายได้ดียิ่งขึ้น
- การลงทุนในการพัฒนาทักษะของพนักงานจะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงและความพึงพอใจในการทำงาน
การจัดการกับพนักงานที่มีปัญหาด้านอารมณ์ชั่ววูบหรือหงุดหงิดกับที่ทำงานต้องการความเข้าใจและการสนับสนุนที่เหมาะสมจากองค์กร การสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตร การให้คำปรึกษาและการฝึกอบรมที่เหมาะสม จะช่วยให้พนักงานสามารถปรับปรุงการทำงานและมีความเสถียรทางอารมณ์มากขึ้น และเป็นความหวังในอนาคตสำหรับองค์กร