สถานะเครดิตบูโร มีความสำคัญต่อการซื้อบ้านอย่างไร ?
สถานะเครดิตบูโร คือ ข้อมูลที่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) เก็บรวบรวมจากสถาบันการเงินต่าง ๆ ที่เป็นสมาชิก เกี่ยวกับประวัติการขอสินเชื่อ ประวัติการชำระหนี้ และภาระหนี้สินทั้งหมดของบุคคลนั้น ๆ เปรียบเสมือน “ใบแจ้งหนี้” ของชีวิตทางการเงิน
ข้อมูลในเครดิตบูโร ประกอบไปด้วย
- ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์
- ข้อมูลสินเชื่อทั้งหมดของคุณ เช่น บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อบ้าน
- ประวัติการชำระหนี้ย้อนหลัง 36 เดือน
- สถานะบัญชีว่า ปกติ หรือ มีปัญหา
สถาบันการเงิน มักใช้สถานะเครดิตบูโรเป็นเครื่องมือในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อบ้าน โดยดูว่า
- คุณมีภาระหนี้สินมากแค่ไหน เมื่อหักจากรายได้แล้ว เหลือเงินเพียงพอที่จะผ่อนชำระหนี้บ้านหรือไม่
- คุณมีประวัติการชำระหนี้ตรงต่อเวลาหรือไม่ เคยมีการค้างชำระหรือไม่
- คุณมีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้มากน้อยแค่ไหน
หากคุณมีสถานะเครดิตบูโรที่ดี โอกาสในการขอสินเชื่อบ้านผ่านก็จะสูงขึ้น แต่หากคุณมีประวัติการชำระหนี้ไม่ดี โอกาสในการขอสินเชื่อผ่านก็จะยากขึ้น
วิธีดูแลสถานะเครดิตบูโรของคุณ
- ชำระหนี้ตรงต่อเวลาทุกงวด
- รักษาภาระหนี้ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
- ตรวจสอบรายงานข้อมูลเครดิตของคุณเป็นประจำ
หากคุณมีประวัติการชำระหนี้ไม่ดี คุณสามารถแก้ไขได้โดยชำระหนี้ค้างทั้งหมด เจรจากับเจ้าหนี้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ เข้าร่วมโครงการแก้ไขหนี้
วิธีเช็คสถานะเครดิตบูโรแต่ละตัวเลข มีความหมายอย่างไรบ้าง ?
วิธีเช็คสถานะเครดิตบูโรจะแสดงออกมาเป็นตัวเลข 2 หลัก ซึ่งแต่ละตัวเลขมีความหมายบ่งบอกถึงสถานะการชำระหนี้ของคุณ ดังนี้
สถานะปกติ
- 010 หรือ 10: ชำระหนี้ตรงเวลา จ่ายครบ ไม่มีหนี้ค้าง
- 011 หรือ 11: ชำระหนี้ครบตามจำนวน ไม่ว่าจะเป็นหนี้ใหม่ หรือหนี้ที่เคยค้างชำระไว้เป็นเวลานาน และปิดบัญชีเรียบร้อยแล้ว
สถานะพักชำระหนี้
- 012 หรือ 12: มีการขอพักชำระหนี้ตามนโยบายของสมาชิก ทำให้สถานะไม่เป็นการค้างชำระ
- 013 หรือ 13: มีการขอพักชำระหนี้ตามนโยบายของรัฐ ทำให้สถานะไม่เป็นการค้างชำระ
- 014 หรือ 14: มีการขอพักชำระหนี้เกษตรกรตามนโยบายของรัฐ จึงทำให้สถานะไม่เป็นการค้างชำระ
สถานะหนี้เสีย
- 020 หรือ 20: มีการค้างชำระหนี้เกิน 90 วัน เข้าข่ายเป็นหนี้เสีย (NPL)
- 021 หรือ 21: มีการค้างชำระหนี้เกิน 90 วัน เนื่องจากลูกหนี้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่ไม่ปกติ
สถานะอยู่ในกระบวนการทางกฎหมาย
- 030 หรือ 30: อยู่ระหว่างกระบวนการทางกฎหมาย
- 031 หรือ 31: อยู่ระหว่างชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอม
- 032 หรือ 32: ศาลพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากขาดอายุความ
- 033 หรือ 33: ปิดบัญชี เนื่องจากตัดเป็นหนี้สูญ
สถานะอื่นๆ
- 040 หรือ 40: อยู่ระหว่างชำระสินเชื่อ เพื่อปิดบัญชี
- 041 หรือ 41: เจ้าของข้อมูลขอตรวจสอบรายการ
- 042 หรือ 42: โอนหรือขายหนี้ที่ค้างชำระเกิน 90 วัน
- 043 หรือ 43: โอนหรือขายหนี้และชำระหนี้เสร็จสิ้น
- 044 หรือ 44: โอนหรือขายหนี้ที่เป็นสถานะบัญชีปกติ
หมายเหตุ
- รหัสตัวเลขเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างคร่าวๆ ยังมีรหัสอื่นๆ อีกมากมายที่ใช้สำหรับสถานการณ์เฉพาะเจาะจง
- คุณสามารถตรวจสอบรายงานข้อมูลเครดิตของคุณได้ฟรีปีละ 2 ครั้ง ผ่านเว็บไซต์ www.ncb.co.th หรือ ไปที่ศูนย์บริการข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB)
การมีสถานะบัญชีเครดิตบูโรที่ดี จะช่วยให้คุณ ขอสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ได้รับอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่ต่ำ ได้รับการอนุมัติวงเงินสินเชื่อที่สูง ดังนั้น ควรชำระหนี้ให้ตรงเวลาและสม่ำเสมอ เพื่อรักษาสถานะบัญชีเครดิตบูโรของคุณให้ดีอยู่เสมอ
สถานะติดเครดิตบูโร คืออะไร ?
ติดเครดิตบูโร หมายถึง บุคคลนั้นมี สถานะบัญชีเครดิตบูโรไม่ปกติ ซึ่งเกิดขึ้นได้หลายกรณี เช่น
- ค้างชำระหนี้เกิน 90 วัน
- ขอพักชำระหนี้
- มีหนี้เสีย (ไม่ชำระหนี้กับสถาบันการเงิน)
- กำลังอยู่ในกระบวนการทางกฎหมาย
ผลที่ตามมาของการติดเครดิตบูโร คือ
- ธนาคาร หรือผู้ให้บริการสินเชื่อจะไม่อนุมัติการขอสินเชื่อ
- อาจถูกจำกัดวงเงินสินเชื่อ
- อาจถูกเรียกเก็บดอกเบี้ยในอัตราที่สูงขึ้น
- อาจถูกปฏิเสธการเช่าบ้านหรือคอนโด
วิธีแก้ไข
- ชำระหนี้ค้างชำระทั้งหมด
- เจรจากับสถาบันการเงินเพื่อขอปรับโครงสร้างหนี้
- ปิดบัญชีที่มีหนี้เสีย
- รอระยะเวลาตามกฎหมาย (โดยทั่วไปข้อมูลเครดิตบูโรจะลบออกหลังจาก 3 ปี)
การติดเครดิตบูโร ส่งผลเสียต่อสถานะทางการเงินของเราอย่างมาก ดังนั้นควร บริหารจัดการหนี้สินอย่างรอบคอบ และ ชำระหนี้ตรงเวลา อยู่เสมอ เพื่อป้องกันปัญหาการติดเครดิตบูโรในอนาคต
สถานะเครดิตบูโรจะเสียได้ ต้องค้างชำระทั้งหมดกี่เดือน ?
วิธีเช็คสถานะเครดิตบูโร การติดเครดิตบูโรไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าค้างชำระกี่เดือน แต่ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละสถาบันการเงิน โดยทั่วไปแล้ว สถาบันการเงินส่วนใหญ่จะถือว่า “ติดเครดิตบูโร” เมื่อมีการค้างชำระหนี้เกิน 90 วัน เข้าข่ายเป็นหนี้เสีย (NPL)
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อเครดิตบูโรของคุณ เช่น ประวัติการชำระหนี้ในอดีต จำนวนหนี้สินที่มีอยู่ และประเภทของสินเชื่อ ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดควรชำระหนี้ให้ตรงเวลาเสมอ เพื่อป้องกันปัญหาการติดเครดิตบูโร
หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครดิตบูโร
- สามารถติดต่อบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) โดยตรง
- ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บไซต์ของเครดิตบูโร https://www.ncb.co.th/
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน
หากติดเครดิตบูโรซื้อบ้านได้ไหม ?
1. ชำระหนี้สินให้หมดก่อน ก้าวแรกสู่การแก้ไขเครดิตบูโร
การชำระหนี้สินให้หมด เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการแก้ไขสถานะเครดิตบูโรให้กลับมาดีดังเดิม ขั้นตอนนี้สามารถทำได้ดังนี้
1. ตรวจสอบสถานะเครดิตบูโร
- ขอรับรายงานเครดิตบูโรจากบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB)
- ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดว่ามีหนี้สินอะไรอยู่บ้าง
- ตรวจสอบยอดหนี้ สถานะการชำระหนี้ และประวัติการชำระ
2. วางแผนจัดการหนี้
- เรียงลำดับความสำคัญของหนี้สิน
- พิจารณาจากจำนวนเงิน ดอกเบี้ย และระยะเวลาการชำระ
- เริ่มต้นจัดการกับหนี้ที่มีจำนวนเงินน้อยก่อน
3. ติดต่อเจ้าหนี้เพื่อขอปรับโครงสร้างหนี้
- แจ้งสถานะทางการเงินของคุณ
- เจรจาต่อรองเพื่อขอพักชำระหนี้ ลดจำนวนเงินผ่อน หรือขยายระยะเวลาการชำระ
- ทำสัญญาใหม่กับเจ้าหนี้
4. ชำระหนี้ตามแผน
- ชำระหนี้ตามจำนวนขั้นต่ำ หรือมากกว่า
- ชำระหนี้ตรงเวลาทุกงวด
- หลีกเลี่ยงการชำระล่าช้า
5. ปิดบัญชีเมื่อชำระหนี้เสร็จ
- ขอใบเสร็จรับเงินหรือหนังสือรับรองการชำระหนี้
- ตรวจสอบว่าบัญชีถูกปิดเรียบร้อย
2. สร้างสถานะเครดิตบูโรใหม่
การสร้างสถานะเครดิตบูโรใหม่ให้ดีขึ้นต้องใช้เวลาและความอดทน แต่หากคุณมีวินัยทางการเงินที่ดี คุณก็สามารถสร้างความน่าเชื่อถือทางการเงินของคุณขึ้นมาใหม่ได้
วิธีสร้างสถานะเครดิตบูโรใหม่ให้ดีขึ้นมีดังนี้
1. ขอสินเชื่อใหม่
- เริ่มต้นด้วยการขอสินเชื่อที่มีวงเงินไม่สูง เช่น บัตรเครดิตสำหรับนักศึกษา หรือสินเชื่อเงินสด
- ชำระคืนหนี้ตรงเวลาทุกงวด
- รักษาจำนวนหนี้คงเหลือให้น้อย (ไม่เกิน 30% ของวงเงินสินเชื่อ)
2. รักษาประวัติการชำระหนี้ที่ดี
- ชำระค่าบิลทุกชนิดตรงเวลา เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์
- ชำระหนีบัตรเครดิตเต็มจำนวน หรืออย่างน้อยก็ชำระขั้นต่ำตรงเวลา
- หลีกเลี่ยงการจ่ายหนี้ล่าช้า หรือการชำระหนี้ไม่เต็มจำนวน
3. ตรวจสอบรายงานเครดิตบูโรของคุณ
- คุณสามารถขอรับรายงานเครดิตบูโรฟรีได้ปีละ 1 ครั้ง
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลในรายงานถูกต้อง
- หากพบข้อมูลผิดพลาด ให้ติดต่อบริษัทเครดิตบูโรเพื่อแก้ไข
4. สร้างความสัมพันธ์กับธนาคาร
- ฝากเงินออมกับธนาคาร
- เปิดบัญชีเงินเดือน
- ใช้บริการทางการเงินอื่นๆ ของธนาคาร
3. หาคนกู้ร่วม
4. ดาวน์บ้านเยอะๆ
การดาวน์บ้านในสัดส่วนที่สูง มีข้อดีหลายประการ ดังนี้
1. ลดจำนวนเงินกู้: เมื่อดาวน์บ้านเยอะ เงินที่ต้องกู้จากธนาคารก็จะน้อยลง ส่งผลให้ภาระผ่อนชำระต่อเดือนลดลง และระยะเวลาผ่อนชำระสั้นลง ช่วยให้ประหยัดดอกเบี้ยได้มาก
2. เพิ่มโอกาสในการกู้ผ่าน: ธนาคารจะพิจารณาปล่อยสินเชื่อบ้านให้กับผู้ที่มีเงินดาวน์สูงมากกว่าผู้ที่มีเงินดาวน์น้อย เพราะธนาคารมองว่าผู้ที่มีเงินดาวน์สูงมีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ต่ำ
3. ผ่อนบ้านได้เร็วขึ้น: เมื่อจำนวนเงินกู้น้อยลง ระยะเวลาผ่อนชำระก็จะสั้นลง ช่วยให้ปิดบัญชีสินเชื่อได้เร็วขึ้น
4. เสียค่าธรรมเนียมจดจำนองน้อยลง: ค่าธรรมเนียมจดจำนองจะคิดจากจำนวนเงินกู้ เมื่อจำนวนเงินกู้น้อยลง ค่าธรรมเนียมจดจำนองก็จะน้อยลง
5. มีเงินสำรองเผื่อกรณีฉุกเฉิน: การดาวน์บ้านในสัดส่วนที่สูง ช่วยให้มีเงินสำรองเผื่อไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน เช่น ซ่อมแซมบ้าน หรือ ตกงาน
อย่างไรก็ตาม การดาวน์บ้านเยอะ ๆ ก็มีข้อเสียคือ คุณต้องใช้เงินก้อนใหญ่เพื่อซื้อบ้าน ซึ่งอาจกระทบกับสภาพคล่องทางการเงินของคุณ
5. เลือกธนาคารที่พิจารณากรณีติดเครดิตบูโร
ธนาคารแต่ละแห่งมีนโยบายการพิจารณาสินเชื่อที่แตกต่างกัน บางแห่งอาจพิจารณากรณีติดเครดิตบูโร ขึ้นอยู่กับประเภทของสินเชื่อ ประวัติการชำระหนี้ และความเสี่ยงของผู้กู้
ธนาคารที่พิจารณากรณีติดเครดิตบูโร
- ธนาคารออมสิน: พิจารณาสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ สินเชื่อส่วนบุคคล กรณีติดเครดิตบูโร แต่ต้องมีหลักฐานแสดงความสามารถในการผ่อนชำระ เช่น เงินเดือน สลิปเงินเดือน หนังสือรับรองการทำงาน
- ธนาคารกรุงไทย: พิจารณาสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ สินเชื่อส่วนบุคคล กรณีติดเครดิตบูโร แต่ต้องมีหลักประกันหรือผู้ค้ำประกัน
- ธนาคารธนชาต: พิจารณาสินเชื่อส่วนบุคคล กรณีติดเครดิตบูโร แต่ต้องมีหลักประกันหรือผู้ค้ำประกัน
- ธนาคารยูโอบี: พิจารณาสินเชื่อบัตรกดเงินสด กรณีติดเครดิตบูโร แต่ต้องมีรายได้ขั้นต่ำ
- ซิตี้แบงก์: พิจารณาสินเชื่อบัตรเครดิต กรณีติดเครดิตบูโร แต่ต้องมีรายได้ขั้นต่ำ
ธนาคารแต่ละแห่งมีข้อเสนอสินเชื่อที่แตกต่างกัน ผู้กู้ควรเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาผ่อนชำระ ค่าธรรมเนียม และเงื่อนไขอื่นๆ ก่อนตัดสินใจ
6. เตรียมเอกสารให้ครบถ้วน
เตรียมเอกสารให้ครบถ้วน สร้างความน่าเชื่อถือในการขอสินเชื่อ
เอกสารแสดงรายได้
- พนักงานประจำ: หนังสือรับรองเงินเดือน, สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 3-6 เดือน
- เจ้าของกิจการ: หนังสือรับรองการเสียภาษี, งบการเงิน, บัญชีรายรับรายจ่าย
เอกสารแสดงสถานะทางการเงิน
- สำเนาบัญชีเงินฝากย้อนหลัง 6 เดือน
- หลักฐานการผ่อนชำระหนี้สินอื่นๆ (ถ้ามี)
หลักฐานอื่นๆ
- บัตรประจำตัวประชาชน
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- ทะเบียนสมรส/ใบหย่า (ถ้ามี)
- หลักฐานแสดงที่อยู่ (ใบเสร็จค่าไฟ/ค่าน้ำ)
เอกสารเพิ่มเติม
- กรณีขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้าน: สำเนาสัญญาจะซื้อจะขาย, ใบจอง
- กรณีขอสินเชื่อเพื่อธุรกิจ: แผนธุรกิจ, ใบอนุญาตประกอบธุรกิจ