เทคนิคเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประชุมวิดีโอทางไกล มีเทคนิคดังต่อไปนี้
- เตรียมความพร้อมก่อนการประชุม ทดสอบอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ให้พร้อมใช้งาน ศึกษาวาระการประชุมล่วงหน้า
- ใช้สถานที่ที่เงียบสงบและมีแสงสว่างเพียงพอ หลีกเลี่ยงสิ่งรบกวนต่างๆ
- เปิดกล้องวิดีโอเสมอ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้มีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น
- พูดชัดเจนและช้าลง อย่าพูดซ้อนคำกัน เปิดโอกาสให้ผู้อื่นแสดงความคิดเห็น
- ใช้ฟีเจอร์ต่างๆ ของซอฟต์แวร์ประชุมอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การแบ่งปันหน้าจอ, เครื่องมือนำเสนอ, การโหวตออนไลน์
- จัดสรรเวลาอย่างเหมาะสม เริ่มและสิ้นสุดตรงเวลา ควบคุมเวลาให้เป็นไปตามวาระการประชุม
- แบ่งหน้าที่ให้ชัดเจน เช่น ผู้ดำเนินการประชุม, ผู้จดบันทึกการประชุม, ผู้ควบคุมเวลา
- จัดทำบันทึกและสรุปมติที่สำคัญจากการประชุม แจ้งให้ผู้เข้าร่วมประชุมรับทราบ
- ขอคำติชมเพื่อปรับปรุงการประชุมครั้งต่อไป เช่น สำรวจความพึงพอใจ รับฟังข้อเสนอแนะ
โดยการนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดปัญหาอุปสรรค และทำให้การประชุมวิดีโอทางไกลมีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หลายองค์กรได้นำระบบการทำงานแบบ work from home หรือ WFH มาใช้ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและเป็นไปตามมาตรการของรัฐบาล การทำงานแบบ WFH นั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสียดังนี้
ข้อดีของการเพิ่มประสิทธิภาพการประชุมวิดีโอทางไกล
- ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อจากการเดินทางและอยู่ในสถานที่แออัด
- ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
- มีความยืดหยุ่นในการจัดสรรเวลาทำงานได้มากขึ้น
ข้อเสียของการเพิ่มประสิทธิภาพการประชุมวิดีโอทางไกล
- อาจขาดการมีปฏิสัมพันธ์และการสื่อสารที่ดีเหมือนการทำงานในออฟฟิศ
- มีสิ่งรบกวนจากสภาพแวดล้อมบ้าน เช่น เสียงรบกวน สมาชิกในครอบครัว ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน
- การประชุมทางไกลผ่านวิดีโออาจไม่มีประสิทธิภาพเท่ากับการประชุมแบบเผชิญหน้า โดยมีรายงานบางฉบับระบุว่าอาจเกิดปัญหาเช่น ไม่ทราบว่ามีใครบ้างเข้าร่วมประชุม ขาดความสนใจหรือสมาธิในการประชุม เกิดความล่าช้าหรือปัญหาทางเทคนิค เป็นต้น
ดังนั้น การทำงานแบบ WFH จึงต้องมีการวางแผนและจัดการอย่างเหมาะสม เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการทำงานสูงสุด ทั้งการจัดสภาพแวดล้อมการทำงาน การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ การใช้เครื่องมือสนับสนุนการทำงานอย่างถูกต้อง รวมถึงการบริหารจัดการเวลาอย่างเหมาะสม
สิ่งที่ควรพิจารณาเพิ่มเติมสำหรับการทำงานแบบ Work From Home
- ความปลอดภัยด้านไซเบอร์ เมื่อพนักงานทำงานจากที่บ้าน อาจมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์เพิ่มขึ้น เช่น การใช้อินเทอร์เน็ตที่ไม่ปลอดภัย การเปิดเผยข้อมูลสำคัญโดยไม่ระมัดระวัง องค์กรจำเป็นต้องมีนโยบายรักษาความปลอดภัยสารสนเทศที่เหมาะสม
- การจัดการด้านกายภาพ การทำงานที่บ้านอาจทำให้เกิดปัญหาด้านการจัดการสภาพแวดล้อมทางกายภาพ เช่น การนั่งทำงานในท่าทางที่ไม่ถูกต้อง แสงสว่างไม่เพียงพอ เสียงรบกวน ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพและประสิทธิภาพการทำงาน
- ความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว การทำงานจากที่บ้านอาจทำให้พนักงานยากต่อการแบ่งแยกเวลาระหว่างงานและเวลาส่วนตัว ซึ่งอาจนำไปสู่ความเครียดและความผิดปกติทางอารมณ์ได้ จึงควรมีการวางแผนและบริหารจัดการเวลาอย่างเหมาะสม
- การพัฒนาทรัพยากรบุคคล องค์กรอาจต้องปรับเปลี่ยนวิธีการฝึกอบรม การประเมินผล และการพัฒนาบุคลากร ให้สอดคล้องกับการทำงานแบบ Work From Home มากขึ้น
- วัฒนธรรมองค์กร การทำงานแบบ WFH อาจส่งผลต่อวัฒนธรรมองค์กร เนื่องจากพนักงานมีโอกาสพบปะพูดคุยกันน้อยลง ทำให้ขาดความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร องค์กรจึงต้องหาวิธีสร้างวัฒนธรรมและบรรยากาศการทำงานที่ดีให้กับพนักงาน
โดยสรุป การทำงานแบบ Work From Home นั้นมีทั้งข้อดีและข้อจำกัด องค์กรต้องมีการวางแผนและจัดการอย่างรอบคอบ เพื่อให้การทำงานแบบนี้มีประสิทธิภาพสูงสุด
โอกาสในการเปิดมุมมองใหม่กับ PartTimeTH จะพาคุณสำรวจอาชีพเสริมและแนะนำข้อมูลสำหรับผู้ประกอบการ ที่หลายคนอาจมองข้ามแล้วพบกันในบทความถัดไป ติดตามประกาศรับสมัครงานเพิ่มเติมได้ที่ Facebook หางาน Part Time งานพิเศษ ทำที่บ้าน เสาร์ อาทิตย์