ประเด็นเรื่อง “สุขภาพจิต” ในวัยทำงานเป็นปัญหาที่กำลังเพิ่มมากขึ้นทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก โดยมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ บ้างก็เกิดจากความกดดันที่สูงมากภายในที่ทำงาน ความคาดหวังไว้สูงว่าจะต้องทำได้ ทำให้การทำงานนั้น มีความกดดันมากขึ้น ซึ่งในวันนี้ PartTimeTH จะพามารับชมถึงสาเหตุของการเกิดปัญหาสุขภาพจิตและวิธีการแก้ไขปัญหา ซึ่งรายละเอียดจะมีอะไรบ้างนั้น ไปติดตามกันเลย
ปัญหาสุขภาพจิต เกิดได้จากสาเหตุใดบ้าง ?
ปัญหาสุขภาพจิตที่เกิดจากงานสามารถแบ่งออกเป็นสองลักษณะใหญ่ คือ ปัญหาที่เกิดขึ้นแบบฉับพลันและปัญหาที่เกิดขึ้นแบบเรื้อรัง โดยแต่ละลักษณะมีผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจของพนักงานในรูปแบบต่างๆ ดังนี้
ปัญหาสุขภาพจิตจากงานแบบฉับพลัน
- ความเครียด: ความกดดันจากงานที่ต้องทำให้เสร็จในเวลาจำกัดหรือความกังวลเกี่ยวกับผลงานที่ต้องส่งผลให้เกิดความเครียดทันที
- ความวิตกกังวล: ความรู้สึกกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการทำงาน หรือกลัวว่าจะไม่สามารถทำงานได้ตามที่คาดหวัง
- ความรู้สึกเศร้า: การรู้สึกหมดหวังหรือล้มเหลวในงานที่ทำ ทำให้เกิดอาการเศร้าทันที
- ความอยากอาหารลดลง: ความเครียดและความวิตกกังวลทำให้ความอยากอาหารลดลง หรือบางครั้งอาจเกิดจากการละเลยการกินเนื่องจากงานที่เร่งรีบ
- การเผาผลาญในร่างกายผิดปกติ: ความเครียดสามารถส่งผลต่อระบบเผาผลาญของร่างกาย ทำให้เกิดอาการเช่น ท้องอืดหรือท้องเสีย
ปัญหาสุขภาพจิตจากงานแบบเรื้อรัง
- ภาวะหมดไฟ (Burnout): เกิดจากการทำงานหนักเกินไปเป็นเวลานาน โดยไม่มีเวลาพักผ่อนเพียงพอ ส่งผลให้พนักงานรู้สึกหมดกำลังใจในการทำงาน
- ระดับภูมิคุ้มกันลดลง: ความเครียดและความกังวลที่ต่อเนื่องเป็นเวลานานทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ส่งผลให้เป็นหวัดหรือเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น
- ความต้องการทางเพศลดลง: ความเครียดเรื้อรังทำให้ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความต้องการทางเพศลดลง ส่งผลให้ความสนใจในเรื่องนี้ลดลง
- ความดันโลหิตสูง: ความเครียดที่ต่อเนื่องเป็นเวลานานสามารถทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่โรคหัวใจและหลอดเลือด
- ความผิดปกติทางจิต: ความเครียดเรื้อรังและความวิตกกังวลที่ไม่ได้รับการจัดการสามารถนำไปสู่ปัญหาทางจิตที่รุนแรง เช่น โรคซึมเศร้าหรือโรควิตกกังวลเรื้อรัง
วิธีฟื้นฟูสุขภาพจิตในวัยทำงาน ทำได้อย่างไรบ้าง ?
การฟื้นฟูสุขภาพจิตในวัยทำงานมีความสำคัญอย่างมากในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีและส่งเสริมประสิทธิภาพในการทำงาน โดยมีวิธีการต่าง ๆ ที่สามารถนำมาใช้ได้ ดังนี้
1. ลดปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเครียด
- ควบคุมปริมาณงานและกำหนดเวลาทำงานที่เหมาะสม
- สร้างวัฒนธรรมการทำงานที่สนับสนุนและไม่กดดัน
2. พักบ้างระหว่างวัน ไม่ควรตึงเครียดเดินไป
- หยุดพักสั้น ๆ ทุก 1-2 ชั่วโมงเพื่อยืดเส้นยืดสาย หรือเดินเล่นเพื่อลดความตึงเครียด
- ใช้เทคนิคการหายใจลึก ๆ หรือการยืดกล้ามเนื้อเพื่อผ่อนคลาย
3. ปรับปรุงการสื่อสารในที่ทำงาน พัฒนาการทำงานเป็นทีม
- ส่งเสริมการสื่อสารที่เปิดกว้างและมีประสิทธิภาพ
- จัดกิจกรรมสร้างทีม (team-building) เพื่อเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน
4. จัดสถานที่ทำงานและสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม
- จัดพื้นที่ทำงานให้มีแสงสว่างที่เพียงพอและระบายอากาศได้ดี
- เพิ่มต้นไม้หรือสิ่งของที่ช่วยสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย
5. ส่งเสริมให้ผู้บริหารสนับสนุนความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน
- ผู้บริหารควรเป็นตัวอย่างที่ดีในการจัดการกับความเครียดและส่งเสริมสุขภาพจิต
- สนับสนุนการมีเวลาพักผ่อนและเวลาส่วนตัวของพนักงาน
6. ให้ความรู้พนักงานเกี่ยวกับประเด็นสุขภาพจิต
- จัดอบรมหรือสัมมนาเกี่ยวกับการจัดการความเครียดและการดูแลสุขภาพจิต
- แจกจ่ายข้อมูลที่มีประโยชน์เกี่ยวกับสุขภาพจิตผ่านสื่อต่าง ๆ
7. ให้การสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การออกกำลังกาย การทำสมาธิ
- จัดหาสถานที่หรือโปรแกรมสำหรับการออกกำลังกายหรือการทำสมาธิ
- ส่งเสริมให้พนักงานเข้าร่วมกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพจิตและร่างกาย
8. ดูแลใส่ใจพนักงานที่ประสบปัญหาสุขภาพจิตอย่างเหมาะสม
- สร้างระบบการสนับสนุนเช่น การให้คำปรึกษาทางจิตวิทยาหรือการให้คำปรึกษา
- มีนโยบายในการดูแลพนักงานที่ประสบปัญหาสุขภาพจิตโดยไม่กีดกัน
การนำวิธีการเหล่านี้มาใช้ในองค์กรจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีและส่งเสริมสุขภาพจิตที่แข็งแรงให้กับพนักงาน ซึ่งจะส่งผลดีต่อประสิทธิภาพการทำงานและความเป็นอยู่ของพนักงานในระยะยาว
สรุปส่งท้าย
การจัดการและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตจากงานนั้นจำเป็นต้องมีการให้ความสำคัญทั้งในระดับบุคคลและองค์กร เช่น การฝึกฝนทักษะในการจัดการกับความเครียด, การส่งเสริมการมีสมดุลระหว่างงานและชีวิต, และการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่สนับสนุนสุขภาพจิตของพนักงาน
ติดตามประกาศรับสมัครงานเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ PartTimeTH และ Facebook หางาน Part Time งานพิเศษ ทำที่บ้าน เสาร์ อาทิตย์