ก่อนขอเพิ่มเงินเดือนอย่าละเลยสิ่งที่ควรพิจารณาเหล่านี้
1. ค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ทั้งหมด
การคำนวณค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการทำงานให้เป็นสิ่งสำคัญเมื่อพิจารณาเรื่องการเรียกเงินเดือนใหม่หรือการย้ายงาน เพราะมันสามารถมีผลต่อความคุ้มค่าของเงินเดือนและคุณภาพชีวิตของเราได้โดยตรง ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนที่คุณสามารถทำเพื่อคำนวณค่าใช้จ่ายเหล่านี้
1. ค่าเดินทาง
ค่านี้สามารถคำนวณได้โดยใช้ระยะทางที่ต้องเดินทางระหว่างบ้านกับที่ทำงาน และค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่คุณใช้ หากมีการเปลี่ยนเส้นทางหรือใช้พาหนะสาธารณะ เช่น รถไฟฟ้า รถเมล์ หรือรถไฟ ก็ควรคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในการใช้บริการเหล่านี้ด้วย
2. ค่าที่พัก
หากมีการเปลี่ยนที่อยู่หรือค่าเช่าที่พัก เราควรคำนึงถึงค่าเช่าที่เกี่ยวข้องกับที่ทำงานใหม่ และค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าอินเทอร์เน็ต ที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อย้ายที่พัก
3. ค่าอาหาร
ค่าใช้จ่ายในการรับประทานอาหารเป็นส่วนสำคัญของความสุขและสมดุลของชีวิตทำงาน ในบางที่อาจมีสถานที่ทำงานที่มีค่าใช้จ่ายสำหรับอาหารเช่น ค่าอาหารกลางวัน หรือบางที่ก็มีสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม เช่น การมีโบนัสอาหาร หรือค่าเสริมเพื่อสุขภาพ เราควรคำนึงถึงความสะดวกสบายและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการรับประทานอาหารในสถานที่ทำงานใหม่ด้วย
การคำนวณเหล่านี้จะช่วยให้เรารู้เท่าทันว่าค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับงานใหม่นั้นจะมีผลต่อสภาพคล่องในการจัดการเงินและความพร้อมในการเปลี่ยนงานได้แบบเต็มรูปแบบ อย่างไรก็ตาม การคำนวณเหล่านี้ก็ควรพิจารณาในบัญชีเงินเดือนของคุณเพื่อให้ได้ภาพรวมที่แท้จริงและเป็นฐานในการตัดสินใจในที่สุด
2. สวัสดิการที่บริษัทมีให้
การพิจารณาสวัสดิการที่บริษัทใหม่มีให้เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้เราตัดสินใจเรื่องการเรียกเงินเดือนและการย้ายงานได้ดีขึ้น ดังนั้นนี่คือขั้นตอนที่คุณสามารถทำเพื่อคำนวณความคุ้มค่าของสวัสดิการเหล่านี้
1. วันหยุด
ตรวจสอบจำนวนวันหยุดที่บริษัทให้และวันหยุดที่คุณต้องการ รวมถึงวันหยุดพักร้อนและวันหยุดพิเศษ เพื่อให้คุณสามารถทำกิจกรรมส่วนตัวและพักผ่อนได้เต็มที่ นับเป็นส่วนสำคัญในการบรรลุคุณภาพชีวิตที่ดี
ค่าล่วงเวลา
หากคุณมักมีการทำงานล่วงเวลา ควรพิจารณาว่าบริษัทให้ค่าล่วงเวลาเพิ่มเติมหรือไม่ และค่าล่วงเวลาเหล่านี้จะมีผลต่อรายได้ของคุณในระยะยาว
2. สวัสดิการอื่น ๆ
ค่าโทรศัพท์ ค่าอาหาร หรือเบี้ยขยัน เป็นสิ่งที่สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายส่วนตัวของคุณได้ ซึ่งอาจสร้างคุณค่าในการเลือกที่จะทำงานใหม่ได้
3. ประกันสุขภาพ
การมีประกันสุขภาพที่ครอบคลุมอาจเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยปกป้องคุณและครอบครัวของคุณในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลมีนัยสำคัญต่อการวางแผนการเงินของคุณในระยะยาว
3. เงินโบนัส
การได้รับโบนัสมักจะขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัทและนโยบายของบริษัทต่อการจ่ายโบนัส บางบริษัทอาจมีการันตีโบนัสในบางเงื่อนไขหรือช่วงเวลาเฉพาะ ในขณะที่บริษัทอื่นๆ อาจจะไม่มีการันตีโบนัสหรือมีเงื่อนไขที่ต้องทำคุณสมบัติบางอย่างก่อนที่จะได้รับโบนัส การโอเคหรือไม่โอเคกับตัวเลขนั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความต้องการของแต่ละบุคคล
บางคนอาจจะเฝ้ารอโบนัสมากเกินไปและลดเงินเดือนเพื่อได้โบนัสมากขึ้น แต่ควรจะพิจารณาถึงความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นเมื่อต้องพึ่งพาโบนัสเป็นหลัก โดยเฉลี่ยเงินเดือนต่อเดือนที่คำนวณรวมกับโบนัสอาจจะมีความแน่นอนน้อยกว่าเงินเดือนที่คำนวณโดยไม่รวมโบนัส
อย่างไรก็ตาม การคำนึงถึงโบนัสในการวางแผนการเงินเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้มีการจัดการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและป้องกันการเกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้เช่นวิกฤติเศรษฐกิจหรือสถานการณ์ฉุกเฉินอื่นๆ ที่อาจทำให้บริษัทไม่สามารถจ่ายโบนัสได้ตามปกติ
4. เวลาที่ใช้ในการทำงาน
เวลาเป็นทรัพยากรที่มีค่าและจำกัดมาก เมื่อเราพูดถึงการทำงาน หลายคนอาจนึกถึงเวลาในการปฏิบัติงานเท่านั้น แต่ความจริงแล้วเวลาที่เสียไปมากกว่านั้นมาก การเดินทางไปกลับที่ทำงานเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจน บางคนต้องใช้เวลาเดินทางถึง 3-4 ชั่วโมงต่อวัน กว่าจะถึงที่ทำงานก็เหนื่อยล้า ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง และเมื่อกลับถึงบ้านก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงสำหรับกิจกรรมอื่น ๆ ส่งผลให้ Work-Life Balance เสียไป
หลายบริษัทให้วันหยุดแค่วันเดียวต่อสัปดาห์ หรือกำหนดชั่วโมงทำงานที่ยาวนานเกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน ทำให้พนักงานไม่มีเวลาสำหรับการพักผ่อนหรือทำสิ่งที่อยากทำเลย เวลาที่เสียไปเหล่านี้ไม่เพียงแต่มีผลต่อการทำงานเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพกายและจิตใจด้วย
ดังนั้น เราควรพิจารณาถึงเวลาที่เสียไปกับการทำงาน ไม่ใช่แค่เวลาในการทำงานเท่านั้น แต่รวมถึงเวลาที่ใช้ในการเดินทางและการพักผ่อนด้วย เพื่อให้สามารถรักษาสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัวได้ดีขึ้น การจัดการเวลาอย่างมีประสิทธิภาพและการเลือกบริษัทที่ให้ความสำคัญกับ Work-Life Balance เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง
การพิจารณาเลือกสถานที่ทำงานไม่เพียงแต่คิดถึงเงินเดือนเท่านั้น แต่ยังต้องมองไปถึงโอกาสและประสบการณ์ที่เราจะได้รับกลับมาด้วย นี่คือสิ่งที่ควรคำนึงถึง
5. โอกาสในการเติบโตและความก้าวหน้า
1. พัฒนาความรู้และทักษะใหม่ ๆ
- หากองค์กรมีการฝึกอบรมหรือจัดสัมมนาเพื่อพัฒนาความรู้และทักษะอย่างต่อเนื่อง ก็จะเป็นโอกาสที่ดีในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ
- ได้รับโอกาสทำงานในโครงการที่หลากหลาย ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างทักษะและความรู้ในหลาย ๆ ด้าน
2. โอกาสต่อยอดไปถึงเป้าหมายในอนาคต
- สถานที่ทำงานมีแผนพัฒนาบุคลากรระยะยาวหรือไม่ เช่น มีโปรแกรมการเลื่อนตำแหน่งหรือการพัฒนาสายอาชีพ
- มีโอกาสได้ทำงานในตำแหน่งที่ท้าทายขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งสามารถพัฒนาตนเองให้เป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น ๆ ได้
3. เวทีให้โชว์ของ
- มีโอกาสได้นำเสนอผลงานต่อผู้บริหารหรือทีมงานอย่างสม่ำเสมอ
- มีโครงการหรือกิจกรรมที่ให้เราสามารถแสดงความสามารถและศักยภาพได้เต็มที่
4. โอกาสเติบโตในสายอาชีพ
- องค์กรมีการสนับสนุนการเติบโตในสายอาชีพอย่างชัดเจน เช่น มีโปรแกรมการพัฒนาผู้บริหารรุ่นใหม่
- มีระบบประเมินผลงานที่โปร่งใสและยุติธรรม ซึ่งทำให้เรารู้ว่าเราสามารถเติบโตในสายงานได้อย่างไรบ้าง
- สำหรับเด็กจบใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์มาก การยอมรับเงินเดือนที่น้อยลงเพื่อแลกกับโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะอาจเป็นสิ่งที่คุ้มค่าในระยะยาว การได้ทำงานในสถานที่ที่ให้ประสบการณ์และทักษะที่สามารถต่อยอดได้ จะเป็นการลงทุนในตัวเองที่จะทำให้เรามีโอกาสในการหางานที่ดีขึ้นและได้รับค่าตอบแทนที่สูงขึ้นในอนาคต
นักศึกษาจบใหม่ จะขอเรียกเงินเดือนได้อย่างไร ?
นักศึกษาจบใหม่ที่กำลังเตรียมตัวเข้าสู่ตลาดงาน การเรียกเงินเดือนเป็นเรื่องที่น่าคิดถึงและมีความสำคัญมาก เนื่องจากการตั้งเงินเดือนที่เหมาะสมสามารถสร้างความประทับใจให้กับนายจ้างและเพิ่มโอกาสในการได้รับงาน ในการตัดสินใจเรื่องนี้ ควรพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ดังนี้
1. ศึกษาเรทโครงสร้างเงินเดือนในตลาดงาน
หาข้อมูลเกี่ยวกับเงินเดือนสำหรับตำแหน่งที่คุณสนใจจากเว็บไซต์หางาน เช่น PartTimeTH เป็นต้น พยายามดูข้อมูลจากหลายแหล่งเพื่อให้ได้ภาพรวมที่ชัดเจน รวมถึงถามคำแนะนำจากคนในสายงานนั้นใน Community ต่าง ๆ เช่น กลุ่มใน Facebook หรือ LinkedIn ที่เกี่ยวข้องกับสายงานนั้น ๆ
2. คำนึงถึงโครงสร้างเงินเดือนของบริษัท
นอกจากการดูเงินเดือนในตลาดงานแล้ว การพิจารณาโครงสร้างเงินเดือนภายในบริษัทที่คุณสมัครงานก็สำคัญ บริษัทส่วนใหญ่มักมีโครงสร้างเงินเดือนที่กำหนดไว้ตามตำแหน่งและประสบการณ์ ทำให้คุณสามารถใช้ข้อมูลนี้เป็นแนวทางในการตั้งเงินเดือนที่เหมาะสม
3. การใช้คำว่า “ตามโครงสร้างบริษัท”
หากคุณไม่มั่นใจว่าจะเรียกเงินเดือนเท่าไหร่ คำว่า “ตามโครงสร้างบริษัท” เป็นทางเลือกที่ดีในการใส่ลงในใบสมัครงาน เนื่องจากแสดงถึงความยืดหยุ่นและเปิดกว้างต่อข้อเสนอจากบริษัท นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณไม่เรียกเงินเดือนสูงหรือต่ำเกินไป
4. เป้าหมายหลักคือการเก็บเกี่ยวประสบการณ์
สำหรับเด็กจบใหม่ การมุ่งเน้นไปที่การเก็บเกี่ยวประสบการณ์และความรู้ในงานแรกเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าเงินเดือน การทำงานที่มีคุณค่าทำให้คุณสามารถสร้างผลงานและพัฒนาตัวเองได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งสามารถนำไปสู่การเลื่อนตำแหน่งและเงินเดือนที่สูงขึ้นในอนาคต
5. ตรวจสอบข้อมูลที่อัปเดต
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลที่คุณได้หามานั้นเป็นข้อมูลที่อัปเดต เนื่องจากโครงสร้างเงินเดือนอาจมีการเปลี่ยนแปลงหลังจากเกิดสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น โควิด-19 ที่ส่งผลต่อหลายสาขาอาชีพ
ในที่สุด การเรียกเงินเดือนที่เหมาะสมและการมีทัศนคติที่ดีในการเข้าทำงานเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้นักศึกษาจบใหม่ประสบความสำเร็จในตลาดงานและสร้างเส้นทางอาชีพที่มั่นคงในอนาคต
คนที่มีประสบการณ์อยู่แล้ว จะขอเรียกเงินเดือนได้อย่างไร ?
การเรียกเงินเดือนเพิ่มเมื่อเปลี่ยนงานเป็นสิ่งที่ต้องใช้การพิจารณาและการเตรียมตัวอย่างดี เพื่อให้ได้ค่าตอบแทนที่สมเหตุสมผลและยุติธรรม นี่คือแนวทางและเทคนิคที่ควรคำนึงถึง
1. การประเมินเรทเงินเดือนในตลาด
- ศึกษาตลาดงาน: ดูประกาศงานที่ตรงกับประสบการณ์และตำแหน่งของคุณ ตรวจสอบเรทเงินเดือนที่ประกาศไว้โดยเฉพาะช่วงสูงสุด (Maximum) เพื่อให้รู้ว่าคุณควรเรียกเงินเดือนเท่าไหร่
- ใช้เว็บไซต์หางาน: เว็บไซต์อย่าง PartTimeTH จะมีข้อมูลเงินเดือนที่เป็นประโยชน์
2. คำนวณการขอเพิ่มเงินเดือน
- เปอร์เซ็นการเพิ่ม: โดยทั่วไป คุณสามารถขอเพิ่มเงินเดือนในช่วง 15-30% จากเงินเดือนปัจจุบัน แต่ไม่ควรเกินจากช่วงเรทเงินเดือนในประกาศงานที่ดูมา เช่น ถ้าเงินเดือนปัจจุบัน 30,000 บาท คุณสามารถขอเพิ่มเป็น 34,500 – 39,000 บาท
- ระวังการขอเกิน Maximum: หากประกาศงานระบุเรทเงินเดือนสูงสุดไว้ เช่น 40,000 บาท ก็ไม่ควรขอเกินนั้น เพราะโอกาสที่จะได้จะน้อย
3. การพิจารณาศักยภาพและความต้องการของตลาด
- ความต้องการในตลาด: หากคุณอยู่ในตำแหน่งที่เป็นที่ต้องการสูงและมีผู้มีความสามารถน้อยในตลาด คุณสามารถขอเงินเดือนได้สูงขึ้น
- ประสบการณ์และผลงาน: การมีประสบการณ์ที่น่าสนใจและผลงานที่เด่นจะช่วยเสริมความสามารถในการขอเพิ่มเงินเดือน
4. เทคนิคการเจรจา
- เน้น Fixed Cash: การขอเงินเดือนให้เน้นที่เงินเดือนหลักที่คุณจะได้รับทุกเดือน ไม่รวมถึงค่าอื่น ๆ เช่น ค่าคอมมิชชั่นหรือค่ารถ
- เตรียมพร้อมข้อมูล: เตรียมข้อมูลที่แสดงถึงความสามารถและผลงานของคุณให้ชัดเจน เช่น ผลงานที่เคยทำ การเพิ่มมูลค่าให้กับองค์กร
- การเจรจาเบื้องต้น: พยายามเจรจากับผู้ว่าจ้างเพื่อให้เห็นถึงความเหมาะสมของเงินเดือนที่คุณขอ หากไม่สามารถให้ตามที่ขอได้ ให้เปิดโอกาสในการพูดคุยถึงผลประโยชน์อื่น ๆ เช่น การเพิ่มค่าตอบแทนรายปี
5. การปรับตัวและความยืดหยุ่น
- เปิดใจ: หากผู้ว่าจ้างไม่สามารถให้ตามที่ขอ ลองเปิดใจฟังข้อเสนอและพิจารณาผลประโยชน์อื่น ๆ เช่น การพัฒนาทักษะ การทำงานที่มีความยืดหยุ่น
- มองหาผลประโยชน์ระยะยาว: บางครั้งการยอมรับเงินเดือนที่ต่ำกว่าเล็กน้อยอาจทำให้คุณได้รับโอกาสในการเติบโตและเพิ่มเงินเดือนได้ในอนาคต
การเจรจาเงินเดือนเป็นศิลปะที่ต้องใช้ความชำนาญและการเตรียมตัวอย่างดี ความเข้าใจในตลาดและการสื่อสารที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณได้ค่าตอบแทนที่สมเหตุสมผลและเหมาะสมกับความสามารถของคุณ
เคล็ดลับการเจรจาขอเพิ่มเงินเดือน
1. เตรียมตัวล่วงหน้า
ศึกษาข้อมูลให้มากที่สุดเกี่ยวกับเงินเดือนและสวัสดิการในตำแหน่งและอุตสาหกรรมที่คุณสนใจ
2. ซ้อมการเจรจา
ฝึกการเจรจากับเพื่อนหรือคนในครอบครัว โดยใช้ข้อมูลที่คุณมีเพื่อสนับสนุนการเรียกเงินเดือนที่ต้องการ
3. ยกตัวอย่างผลลัพธ์ที่เคยทำได้
แสดงให้เห็นว่าคุณมีคุณค่าต่อบริษัทด้วยการยกตัวอย่างผลงานที่ผ่านมาหรือความสำเร็จที่เคยทำได้
4. เปิดเผยตัวเลขที่เป็นเหตุผล
การระบุเงินเดือนที่ต้องการเป็นตัวเลขที่เฉพาะเจาะจงและมีเหตุผลสนับสนุน เช่น “จากการค้นคว้าและประสบการณ์ของผม เงินเดือนที่เหมาะสมสำหรับตำแหน่งนี้ควรอยู่ที่ 30,000 บาท”
5. ฟังและปรับตัว
ฟังข้อเสนอของผู้ว่าจ้างและพร้อมที่จะปรับตัวเพื่อหาจุดตรงกลางที่ทั้งสองฝ่ายพอใจ
6. มั่นใจและเชื่อมั่นในตัวเอง
การเจรจาเงินเดือนต้องการความมั่นใจและความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง อย่าลังเลที่จะเรียกร้องในสิ่งที่คุณเชื่อว่าคุณมีคุณค่าพอ
การพิจารณาความคุ้มค่าของเงินเดือนที่ต้องการมีความสำคัญอย่างมากเพราะมันไม่ได้แค่เป็นการวางราคาต่อการทำงานของเราเท่านั้น แต่ยังเป็นการตั้งเป้าหมายสำคัญที่จะช่วยให้เราพัฒนาตนเองไปสู่ระดับที่สูงขึ้น การรับเงินเดือนที่ต่ำกว่าความคุ้มค่าของเราอาจทำให้เรารู้สึกไม่พึงพอใจและไม่มีความสุขในการทำงาน
ในขณะที่การขอเพิ่มเงินเดือนที่สูงกว่าความคุ้มค่าของเราอาจทำให้เรามีความพึงพอใจมากขึ้น แต่ในบางครั้งอาจมีการเสียโอกาสที่เกิดขึ้นด้วย เช่น การพักผ่อนน้อยลงหรือการทำงานเวลามากขึ้น ดังนั้นการคำนึงถึงทั้งความคุ้มค่าและความพึงพอใจในการทำงานเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจเรื่องการเรียกเงินเดือน